วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ปัญหามีไว้ให้แก้

ปัญหามีไว้ให้แก้

เป็นธรรมดาของการทำงานร่วมกันกับคนหลายๆคนกับหลายๆฝ่าย สิ่งหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นเสมอๆนั่นก็คือ ความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน แต่ถ้ามีการจัดการบริหารที่ดี สามารถนำความคิดเห็นของฝ่ายต่างๆมาประยุกต์ใช้ และเรียนรู้ที่จะยอมรับในความแตกต่าง รู้จักชั่งน้ำหนักว่าสิ่งใดควรทำ ความคิดเห็นแบบไหนที่เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ก็จะไม่เกิดการสะดุดในการทำงาน

แต่สำหรับสังคมคนยุคใหม่ที่ต่างคน ต่างคิดว่าตัวเองเจ๊งที่สุด เก่งที่สุด และเป็นยุคสมัยที่ไม่ยอมลดราวาศอกกัน แถมด้วยการศอกกลับใส่กันอีกต่างหาก สังคมจึงเต็มไปด้วยปมปัญหา และเริ่มทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกว่าเราจะรู้ตัวก็มีผู้อื่นช่วงชิงสิ่งดีๆเหล่านั้นไปหมด สุดท้ายเหลือแต่ความแห้งแล้ง สุดท้ายเหลือแต่ความว่างเปล่า

บ่อยครั้งบางคนก็มักย่ำรอยอยู่กับที่ กับปัญหาเดิมๆมีแนวคิดเดิมๆ ซึ่งไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาใหม่ๆได้ ทำไปทำมาดูเหมือนเป็นการวิ่งไล่ตามปัญหาเสียมากกว่า การแก้ปัญหาให้ตรงจุดจึงเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง มองในมิติความเชื่อปัญหาทั้งหลายแก้ได้โดยอาศัยความรักและความเข้าใจเป็นพื้นฐาน จากนั้นก็เป็นขบวนการที่กระทำออกมาสู่ภาคปฏิบัติ การแก้ปัญหาเป็นการฝึกฝนความคิด ฝึกฝนความอดทนและฝึกที่จะอยู่กับสรรพสิ่งอย่างสันติ หากสถาบันไหน สังคมไหน ไม่มีปัญหาก็คงไม่มีการพัฒนาและเติบโต ใช่หรือไม่ การอะลุ่มอล่วยกันบ้าง ยอมกันบ้างในบางครั้ง สำคัญกว่าการไปสู่ความสำเร็จท่ามกลางความขัดแย้งและเปี่ยมไปด้วยกองทุกข์

การโต้เถียงกันในการพูดคุยสนทนา ในการประชุมบ่อยครั้งนำมาซึ่งปัญญา ในสังคมชาวตะวันตกมักจะมีวัฒนธรรมแห่งการโต้เถียง มีวัฒนธรรมที่หาเหตุผลมาคัดง้างกัน นี่จึงเป็นที่มาของศาสตร์และศิลป์ในหลายๆแขนง แต่พอหันกลับมามองในสังคมบ้านเรา การโต้เถียงจะกลายเป็นความขุ่นเคืองกัน กลายเป็นความเกลียดชังกัน เป็นความเคียดแค้นแก่กัน จึงไม่แปลกใช่ไหม...ที่สังคมเราวันนี้ดูจะไม่ก้าวหน้าไปไหน ขัดแย้งกันอยู่ในเรื่องเดิมๆ จนกระทั่งรอบบ้านเมืองเราเขาไปถึงไหนกันแล้ว ทำให้คิดถึงนิทานเรื่องหนึ่งขึ้นมา เรื่องมีอยู่ว่า

ณ แม่น้ำแห่งหนึ่งมีหอยกาบตัวหนึ่งโผล่หัวออกมาเพื่ออาบแดดอยู่บนพื้นดินริมตลิ่ง พลันก็มีนกปากห่างตัวหนึ่งตรงรี่เข้ามาใช้จะงอยปากหวังจิกกินเนื้อหอยตัวนั้น หอยกาบจึงรีบหุบเปลือก 2 ข้างเข้าด้วยกัน หนีบเอาจะงอยของนกปากห่างเอาไว้อย่างแนบแน่น นกจึงอ้าปากไม่ได้ เวลาผ่านไปนานแสนนาน หอยกาบเมื่อขึ้นจากน้ำมาเป็นเวลานานเริ่มรู้สึกตัวเองจะแห้งตายอยู่แล้ว นกก็เมื่อยปากเพราะมันไม่ได้อ้าปากมานานเช่นกัน ทำให้ทั้ง 2 รู้สึกลำบากมาก จากนั้นจึงเริ่มทะเลาะกัน

นกปากห่างกล่าวว่า ถ้าวันนี้ฝนไม่ตก พรุ่งนี้ฝนก็ไม่ตกอีก หอยกาบในโลกนี้คงจะน้อยลงไปอีกหนึ่งตัวแน่ๆ (ถ้าไม่ได้น้ำหล่อเลี้ยงหอยกาบคงต้องแห้งตาย)
หอยกาบจึงตอบโต้ไปว่า แต่ถ้าวันนี้ปากของแกอ้าไม่ได้ พรุ่งนี้ก็ยังอ้าไม่ได้ ในโลกนี้ก็คงจะมีศพนกปากห่างเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งศพกระมัง (หากไม่สามารถอ้าปากกินอาหารนกปากห่างก็คงจะต้องหิวตายเช่นกัน)
สัตว์ทั้ง 2 ชนิดล้วนไม่มีใครยอมใคร พอดีกับที่เวลานั้น มีคนตกปลาผู้หนึ่งเดินผ่านมาพบเห็นจึงจับทั้งนกและหอยกลับบ้านไปพร้อมกัน

นกกับหอยทะเลาะกัน แต่คนตกปลาได้รับประโยชน์ เป็นข้อคิดตักเตือนว่า ยามที่ต้องทะเลาะ หรือมีปากเสียงกับผู้อื่น ควรใช้สติปัญญา สำหรับเราคริสตชน เรามีความเชื่อถึงการเป็นอยู่ขององค์พระจิตเจ้าที่สถิตกับเรา หากเราให้พระองค์ทรงนำทางในการแก้ไขปัญหา แทนที่จะใช้อารมณ์เพียงอย่างเดียว จะทำให้เราพบกับความสุขขึ้นมาได้บ้างในชีวิต

เรามักจะได้ยินได้ฟังกันบ่อยๆว่าปัญหามีไว้ให้แก้ไม่ใช่มีไว้ให้แบก แต่เอาเข้าจริงเจอปัญหาจริงก็ไขว้เขว นำปัญหามาแบกใส่จนหลังอาน เป็นที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่ง มนุษย์เราพัฒนาเทคโลโนยี พัฒนาสิ่งต่างๆได้อย่างก้าวล้ำ แต่ในโลกก็ยังพบเจอแต่ปัญหาเดิมๆ ผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยก็ยังแก้ไม่ตก ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาความเหลื่อมล้ำของคนในสังคมโลก มีคนจนจำนวนมาก มีคนไร้โอกาส คนด้อยโอกาสจำนวนมากเหมือนเดิม ปัญหาเรื่องการคดโกง การทุจริต คอร์รัปชั่น ก็มีมาทุกยุคทุกสมัย แม้ว่าจะมีคนคิดประดิษฐ์ระบบการตรวจสอบ ก็ไม่สามารถทำให้ปัญหานี้หมดไปได้ แล้วจะทำอย่างไรเล่าเพื่อให้ปัญหาเหล่านี้หมดไป จะต้องให้ศาสดามาปรากฏสักกี่องค์ ใจของมนุษย์จึงจะลดละซึ่งกิเลส ความโลภ ละโมบลงได้ แต่นั่นแหละนี่คงเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้เราต้องอยู่กับปัญหาเพื่อจะได้มีปัญญาเพิ่ม หาใช่มีตัณหาเพิ่มขึ้น

วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วิชาคนศึกษา

วิชาคนศึกษา

เที่ยงกว่าๆของวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่กำลังเพลิดเพลินกับอาหารจานโปรดในร้านอาหารเจ้าประจำที่ผูกขาดกันมาเป็นเวลาร่วมสิบปี ทำให้สนิทสนมกับเจ้าของร้านจนขนาดว่าวันไหนลืมกระเป๋าสตางค์ยังมีข้าวทาน แต่วันนี้ไม่ได้ลืมพอทานเสร็จเรียบร้อยก็เลยเข้าไปทักทายกับคุณป้าเจ้าของร้าน เพราะเห็นแกนั่งหน้าตาตกใจอยู่ ก็เลยไถ่ถามว่าเป็นอะไรไม่สบายหรือเปล่า หรือว่าไม่มีลูกค้ามาทานมื้อเที่ยง แต่คุณป้าตอบว่า "เปล่าหรอกคุณ ป้าหมดแรงเพราะเมื่อสักครู่นี้ ตอนที่คุณกำลังอร่อยกับอาหารอยู่นั้น มีเด็กสาวกระโดดคอนโดฯลงมาเสียชีวิตคาที่ จากชั้น 29 จะเหลืออะไรหล่ะ เลยทำให้หมดแรงขนาดจะเด็ดยอดผักยังทำไม่ได้เลยคุณ" มาทราบตอนหลังว่าเด็กสาวคนนั้นมีปัญหาเรื่องหัวใจ(Why) ไม่เข้าใจ ทำใจไม่ได้ที่ทะเลาะกับคนรัก (เคยรัก) แก้ปัญหาไม่ตกเลยประชดรักขอเอาตัวเองตกจากตึกลงมา

ขณะที่เดินกลับมาทำงานก็อดครุ่นคิดไม่ได้ว่า คนสมัยนี้มองเรื่องชีวิตกันอย่างไรหนอ? มองเห็นคุณค่าชีวิตมากน้อยแค่ไหน? หรือนับวันคนรุ่นใหม่มีหัวใจที่เล็กลง ไม่สู้ปัญหา ไม่กล้าเผชิญกับปัญหา คนยุคออนไลน์แต่หัวใจอ่อนแอเหลือเกิน ใครบ้างหล่ะที่เกิดมาแล้วจะไม่เคยเจอะเจอปัญหา ใครบ้างหล่ะที่เกิดมาแล้วสมบูรณ์แบบไม่เคยพลาดพลั้ง ใครบ้างหล่ะตอนหัดเดินแล้วไม่เคยล้มลง ใครบ้างหล่ะที่เกิดมาก็ใหญ่คับฟ้าโดยไม่ได้สร้างบารมีหรืออาศัยบารมีจากผู้อื่น ชีวิตมีค่าอยู่ตรงที่เรารู้จักค่าของมันก่อน และรู้จักเพิ่มคุณค่าให้ชีวิตเติบโตขึ้นอย่างสง่าผ่าเผย หลายคนในโลกกว่าจะเดินได้อย่างสง่าก็ล้มแล้วลุกอีก ล้มลงแล้วเงยหน้าขึ้นยืน แก้ตัวใหม่ กลับใจใหม่คิดใหม่ทำดี ชีวิตจึงมาถึงจุดที่เปิดเผยต่อใครๆอย่างไม่อายฟ้าดินและเป็นที่ยอมน้อมรับของคนทั่วไป

ชีวิตคนเราเกิดมามีค่าเท่ากัน หนึ่งชีวิตเหมือนกัน ไม่ว่าจะผ่านวันดีคืนร้ายสักเท่าไหร่ ตายไปก็หนึ่งชีวิต แต่กับหนึ่งชีวิตนี้แหละมีสิ่งดีๆที่ทำเพื่อผู้อื่น เพื่อเพิ่มคุณค่ากับสิ่งประเสริฐที่เรียกว่าชีวิตนี้มากน้อยไม่เท่ากัน ใช่หรือไม่ นี่เป็นสิ่งที่เราต้องหมั่นดูแลรักษาให้มันทรงคุณค่าภายในเสมอแม้ว่าบางครั้งภายนอกอาจจะไม่งดงามนัก

มีอาจารย์มหาวิทยาลัยท่านหนึ่งเริ่มต้นการสอนด้วยการควักธนบัตรใบละ 1,000 บาท ออกมาให้นักศึกษาได้ดู แล้วถามว่า "ใครอยากได้บ้าง" นักศึกษาทุกคนยกมือ (คงรวมทั้งคนอ่านด้วยใช่ป่ะ) อาจารย์เริ่มขยำธนบัตรใบนั้นจนยับยู่ยี่ แล้วก็ถามต่ออีกว่าแล้วใครยังอยากได้ธนบัตรใบนี้อีกบ้าง ใช่เลย...คำตอบยังคงเหมือนเดิม (รวมทั้งคนเขียนด้วยอีกคน 555)

อาจารย์ถามต่ออีกว่า "และถ้าธนบัตรใบนี้ถูกทิ้งอยู่บนพื้น แล้วมีคนเหยียบย่ำจนสกปรก ยังมีใครอยากได้อีกหรือไม่" ทุกคนยังคงยกมือเหมือนเดิม ในใจก็คิดว่ายังไงมันก็เป็นเงินที่มีค่า เอาไปล้างซะก็ใช้ได้แล้ว อาจารย์ต่ออีกหนึ่งคำถาม "และถ้าธนบัตรนี้ตกลงไปในบ่อน้ำที่เน่าเหม็นล่ะยังมีใครอยากได้บ้าง" ทุกคนก็เริ่มหาวิธีต่างๆนานาเพื่อให้ได้ธนบัตรใบนั้น

อาจารย์จึงกล่าวสรุปว่า "นั่นคือสิ่งที่มีค่าที่พวกเธอได้เรียนรู้ในวันนี้ คือ ไม่ว่าเธอจะทำอะไรกับธนบัตรใบนั้น มันก็ยังมีค่าราคาอยู่ที่ 1,000 บาท ชีวิตคนเราก็เช่นเดียวกัน บางครั้งเราอาจจะถูกทอดทิ้ง ถูกใครต่อใครซ้ำเติมเหยียบย่ำ ดูถูกใส่ร้าย ถูกตำหนิต่อว่าถูกขยำขยี้จนยับเยิน เพราะความผิดพลาดในชีวิต เพราะการก้าวพลาดในเส้นทางเดินของชีวิต จนทำให้เกิดความรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า ไร้ราคา แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอก็ยังมีคุณค่าของความเป็นคน ไม่ว่าเธอจะสะอาดเอี่ยมเลี่ยมทอง หรือยับยู่ยี่เปรอะเปื้อนเลอะเทอะไปด้วยโคลนตมสกปรกมีกลิ่นเหม็น เธอก็ยังเป็นคนคนเดิม ยังมีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับคนที่รักเธอ จงรักษาชีวิตนี้ไว้ให้ตลอดอยู่คู่ลมหายใจสุดท้าย ตายอย่างผู้มีชัย อย่าตายไปเพราะหมดอาลัยกับชีวิต"

หลายคนเคยพูดคุยกัน มักบอกว่าเด็กสมัยนี้เปราะบาง และไม่ทนต่อสภาพที่ต้องพบเจอ มีแต่ความทะยานอยากแต่ขาดซึ่งความเพียรพยายาม อยากเป็นใหญ่โดยไม่ออกแรง อยากเป็นที่รักแต่กลับรักตัวเองมากกว่า อยากประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยใช้วิธีรวบลัด เมื่อไม่ได้ก็ผิดหวังแรง หมดแรงลุก และยอมศิโรราบ กล้าที่จะทิ้งเรือนร่างแต่ไม่กล้าที่จะยกร่างลุกขึ้นสู้ใหม่อีกครั้ง จมปลักอยู่แต่กับปัญหา ขาดการฝึกให้มีปัญญาและปรีชาญาณในการดำเนิน ดำรงชีวิต เราจึงจะพบเห็นข่าวลักษณะนี้บ่อยขึ้นเรื่อยๆ วันดีคืนดีอาจจะมีเรือนร่างของใครบางคนมาตกใส่หน้าเราก็เป็นไปได้

ก็ได้แต่หวังและภาวนาว่า เราจะต้องช่วยกันบูรณาการสังคม ฟื้นสังคมให้กลับมาเห็นคุณค่าของสิ่งที่มีชีวิตที่เรียกว่า "คน" กันให้มาก โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กนักเรียนและเยาวชน อาจจะต้องมีการสอนกวดวิชาความเป็นคนขึ้นมา และอย่าลืมเชิญอาจารย์ท่านนั้นมาสอนด้วย เพื่อเด็กๆวันนี้จะได้รู้ว่า ชีวิตมีค่าแค่ไหน.....

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2552

จะเป็นคนดีหรือคนมั่งมี

จะเป็นคนดีหรือคนมั่งมี

วันเวลาเดินทางผ่านมาแต่ละวันดูช่างรวดเร็วเหลือเกิน บางวันพายุกระหน่ำฝนฟ้ากระจาย บางวันขมุกขมัว บางวันท้องฟ้าสดใส และจิตใจของเราหล่ะ แต่ละวันเป็นเช่นไรกันบ้าง คงไม่แตกต่างกับดินฟ้าอากาศกระมัง? มีวันแดดออกร้อนรุ่มสุมกายา มีวันสดชื่นแจ่มใส และมีบ้างบางวันฝนฟ้าพายุทะลุทะลวงทำเอาแทบขาดใจ ชีวิตมนุษย์นี้สั้นนักแต่กลับยากเย็นในการดำเนินชีวิต พยายามมองโลกในแง่สวยงามในด้านที่ดีๆแต่ก็ยังมีมลภาวะร้ายเข้ามารังควานจิตใจอย่างไม่หยุดหย่อน อันเนื่องมาจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป หรือไม่ก็มาจากการงานที่ถาโถม มาจากความสัมพันธ์ของผู้คน ที่สุด มาจากความมักใหญ่ใฝ่สูงและกองกิเลสที่เอ่อล้นออกมา...

ในค่ำคืนวันหนึ่งได้ยินเสียงเพลงอันไพเราะจากโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ หันดูอีกครั้ง ก็จบเสียแล้ว จนกระทั่งมีเพื่อนผู้พี่คนหนึ่งถามว่าได้ดูโฆษณาตัวใหม่ของบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่งหรือยัง ก็เลยสอบถามรายละเอียด ใช่เลย...เป็นเพลงที่ได้ยินเมื่อคืนที่ผ่านมา ในวันถัดมาจึงตั้งใจดูโฆษณาตัวนี้อีกครั้ง รออยู่นานจนกระทั่งได้ดูแบบเต็มๆ เป็นโฆษณาที่นำเด็กพิการมาร้องเพลง ถ่ายทำได้สวยงาม หลายคนคงได้เห็นมาแล้ว เนื้อหาเป็นการพูดถึงคุณค่าของชีวิต ชีวิตที่เมื่อเกิดมาย่อมมีความหวัง ความฝัน อยากเป็นนั่นโน่นนี่ เพลงร้องประสานกันได้อย่างไพเราะเพราะพริ้ง สีหน้าของเด็กๆเปี่ยมไปด้วยความสุขในความแตกต่างจากคนทั่วไป หลายคนได้ชมแล้วซึ้งน้ำตาซึม เพลงนี้เป็นเพลงเก่าเป็นที่คุ้นชินของใครหลายคน เนื้อเพลงมีอยู่ว่า

When I was just a little girl เมื่อฉันยังเป็นเด็ก (เด็กผู้หญิง)

I asked my mother what will I be ฉันถามแม่ว่า โตขึ้นฉันจะเป็นเช่นไร

Will I be pretty ฉันจะสวย

Will I be rich จะร่ำรวยไหม
Here's what she said to me แม่ตอบฉันว่า

Que sera sera (ภาษาฝรั่งเศส) Whatever will be will be อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

The future's not ours to see อนาคตคือสิ่งที่มองไม่เห็น

Que sera sera (ภาษาฝรั่งเศส) Whatever will be will be อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

When I was just a little boy เมื่อฉันยังเป็นเด็ก(เด็กผู้ชาย)

I asked my mother what will I be ฉันถามแม่ว่า โตขึ้นฉันจะเป็นเช่นไร

Will I be handsome ฉันจะหล่อ

Will I be rich จะร่ำรวยไหม

Here's what she said to me แม่ตอบฉันว่า
Que sera sera (ภาษาฝรั่งเศส) Whatever will be will be อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

The future's not ours to see อนาคตคือสิ่งที่มองไม่เห็น

Que sera sera (ภาษาฝรั่งเศส) Whatever will be will be อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

และจบท้ายด้วยประโยคที่ว่า ชีวิตเกิดมาแตกต่าง แต่ดูแลให้ดีที่สุดได้

กรมธรรม์ก้าวแรก ชื่อบริษัทนั้น.....(ไม่ได้รับเงินมาโฆษณาให้นะครับ)

ก็ต้องชื่นชมผู้คิดผลิตโฆษณาที่มีเนื้อหาดีมาให้ดูให้ชม แต่สิ่งที่แปลกใจสักหน่อย การที่เลือกเพลงนี้มาประกอบเพราะมีคำว่า Will I be rich จะร่ำรวยไหม ก็เป็นแผนการตลาดวิธีหนึ่ง เมื่อพูดถึงความร่ำรวย ก็ต้องเกี่ยวข้องกับบริษัทการเงิน บริษัทประกันภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ใช่ป่ะ เอาหล่ะ ถ้าเราข้ามเรื่องของสินค้าไป ก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่ผุดขึ้นมา การที่เด็ก ๆ ถามแม่ว่า จะสวย จะหล่อ จะรวยไหม นอกจากจะตอบว่าเป็นอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดอนาคตคือสิ่งที่เกินคาด เราก็ควรจะตอบเด็กๆว่า ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรในวันข้างหน้าขอให้หนูโตขึ้นเป็นคนดี เป็นคนที่มีคุณธรรมประจำใจ ความสวย ความหล่อ ความรวย เป็นเรื่องรองจะดีกว่ามั๊ย พ่อแม่พี่น้อง

บ่อยครั้งเราก็มองกันแต่เรื่องภายนอกที่เป็นเปลือก ไม่ค่อยปลูกฝังให้เด็กๆมีความเข้มแข็งทางด้านจิตใจ เป็นคนดีที่มีจิตวิญญาณสูงขึ้น เป็นคนที่มีจิตอาสาเกิดมาเพื่อรับใช้ผู้อื่น เป็นผู้ให้มากกว่าเรียกร้อง นี่จึงเป็นคุณค่าของความเป็นคน คุณค่าที่พระคริสตเจ้าสอนเราไว้ว่า จงขายทุกสิ่งที่มี มอบเงินให้คนยากจนและท่านจะมีขุมทรัพย์ในสวรรค์ การเป็นคนดีคือการพยายามกระทำในสิ่งที่ดี และสอนให้ผู้สืบทอดโลกจากรุ่นเราเป็นคนดี มากกว่ามุ่งเป็นคนมั่งมี คนดีก็รวยได้ รวยเพราะทำความดีย่อมน่าสรรเสริญกว่ารวยเพราะการคดโกง เอาเปรียบผู้อื่น นี่แหละคุณค่าความเป็นคน เราทุกคนต้องพยายามเดินสู่หนทางนี้ ที่วันนี้มีเพื่อนร่วมเดินทางน้อยเหลือเกิน...ได้ขุมทรัพย์ในสวรรค์" ียกร้อง กๆมีความเข้มแข็งทางด้านจิตใจ เป็นคนดีที่มีจิตวิญญาณสูงขึ้น



วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ฟากฝั่งสังคมใหม่

ฟากฝั่งสังคมใหม่

หากเปรียบสังคมในวันนี้เป็นเป็นดั่งท้องทะเล เป็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เราๆท่านๆก็คงกำลังออกแรงว่ายอยู่ใจกลางทะเล ต่างว่ายต่างวนกันอยู่ในนั้น ต่างคนต่างฝ่ายก็พยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อจะเข้าหาฝากฝั่งให้ได้ดั่งหวัง แต่ก็ไม่รู้ว่ามีฝากฝั่งฝันนั้นจริงไหม !!!! เมื่อต่างคนต่างว่าย ต่างคนต่างไป เราก็เลยละเลย เหลียวมามองคนรอบข้าง คิดแต่เพียงว่า ทำไมเราช่างโดดเดียวกลางมหานทีเช่นนี้เล่า แถมยังไม่ยอมที่หยุดพักลอยคอ ตั้งสติ เพื่อจะได้หาทาง เพื่อจะร่วมไม้ร่วมมือ ช่วยกันจูงมือ ประคับประคองกันไปให้ถึงฝากฝั่งนั้น

ใช่หรือไม่ มนุษย์นับวันจะโน้มเอียงไปในทางเป็นวัตถุมากขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยอมถอยห่างออกไปจากแก่นกลางของจิตวิญญาณ ซึ่งถือว่าเป็นจุดสมดุล มนุษย์เราทั่วทั้งโลกเวลานี้ตกอยู่ในภาวะ วุ่นวาย ว้าวุ่น ตะเกียกตะกาย สับสน อลหม่าน เนื่องเพราะขาดสมดุลระหว่างร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ มองเรื่องภายในเป็นเพียงสุขภาพจิต ไม่ได้มองลึกลงไปในมิติคุณค่าทางด้านจิตใจ ต่างก็โผเข้าเกาะวัตถุโดยไร้การสังเคราะห์ พินิจ พิจารณา หลงใหลในรูปที่เรียกว่า เทคโนโลยีบ้าง ระบบการสื่อสารทันสมัยใหม่บ้าง นวัตกรรมใหม่ๆบ้าง คิดค้นระบบแบบใหม่เพื่อพัฒนาสังคมในรูปของทุนนิยมบ้าง บริโภคนิยมบ้าง ระบบเศรษฐกิจแนวใหม่ การตลาดนิยม เป็นต้น

เศรษฐกิจโลกพังคลืนลง หากมองให้ลึกๆ ค้นหาให้สาเหตุให้นานๆจะพบว่าเพราะทุกคนหันไปยึดวัตถุ ผู้บริหารสถาบันระดับโลกหลายคนใช้ จิตวัตถุ ทุจริต กอบโกย และโกงกินด้วยความละโมภ สุดท้าย สิ่งที่ได้จากสังคมวัตถุที่ขาดการสังเคราะห์ คือ ความล้มเหลว และล้มสลายของระบบต่างๆที่คิดค้นกันขึ้นมา

สถานบันหลักในสังคมแบบเก่าก็ถูกเปลี่ยนโฉม แปลงรูปแบบไปอย่างไม่เหลือเศษซากและแก่นแท้ ระบบครอบครัวใหม่ พ่อไปทาง แม่ไปทาง ลูกหลานเลยหลงทาง เนื่องเพราะขาดการมองคุณค่าของกันและกัน ประเมินฉันและเธอเป็นเพียงวัตถุ แทนค่ากันเป็นด้วยมาตรวัดแบบวัตถุนิยมและเศรษฐศาสตร์นิยมที่ต้องมีผลกำไร ต่างคนต่างเก่ง เป็นยุคที่ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน ต่างคนต่างมุ่งหน้าไปยังฝากฝั่งที่เรียกว่า ความสำเร็จ ด้วยตัวเอง ความสำเร็จที่วัดกันด้วยการมีบ้านหลังใหญ่ มีรถหรูให้ขับ มีโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุด เป็นเจ้าของเทคโนโลยีสมัยใหม่ Mp3 Mp4 Mp7 ต้องมีเงินเดือนสูง ต้องมีตำแหน่งแห่งหนได้เป็นผู้บริหาร มีงบประมาณก้อนโตให้ใช้สอย แต่แล้วในใจกลับไร้รัก ในใจไร้ความห่วงหาอาทรต่อคนใกล้ชิด ความสนิทสนมกับคนรอบข้างเริ่มจางหาย ครอบครัวไม่เป็นครอบครัวอีกต่อไป เพราะขาดการมีส่วนร่วมระหว่างสมาชิก มีบ้านหลังใหญ่ให้อยู่ก็จริงแต่กลับหว้าเหว่ มีรถให้ขับก็จริงที่ก็งียบเหงา มีโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดใช้ก็จริงที่ทำไมรู้สึกโดดเดียว มีสิ่งอำนวยความสะดวกตั้งมากมายแต่กลับวุ่นวายหามาเติมเต็มอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและพอเพียง

และเมื่อระบบครอบครัวเริ่มล้มสลายกลายเป็นระบบคนเคยอยู่ คนเคยเคียง เตียงก็เริ่มแยก ในระบบสังคมที่ใหญ่ที่ต้องอาศัยอยู่ร่วมกันในที่ทำงาน เป็นองค์กรใหญ่ ก็ยิ่งไม่หลงเหลือเชื้อแห่งความสันติสุข มีแต่การแข่งขัน แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น เห็นใครได้ดีไม่ได้ต้องเข่นฆ่าให้จมหายตายจากกันไป คนที่อาศัยชายคา อาศัยอาคารเดียวกันกลับกลายเป็นคนต่างหน้า เป็นคนแปลกแยก ไม่มองหน้าไม่สบตากัน มีแต่ความหวาดระแวง ชีวิตปราศจากความสุขจากวิถีชีวิตประจำวัน มาทำงานแบบไร้ใจ จดจ่ออยู่กับผลตอบแทนที่จะได้รับในวันสิ้นเดือน ทำงานในตึกสูงแต่ทำตัวเป็นเกษตรกรที่ชอบปลูกผักชี และมีบ้างบางคนที่ชอบทำตัวเกินตำแหน่งหน้าที่ชอบโอ้อวดความเก่งกาญ ชอบพูดมากๆโดยไม่ชอบธรรม (ทำ) ความเป็นส่วนร่วมเป็นหนึ่งในสถาบันก็หายไปหมด

การแตกแยกของคนในชาติ ในสังคมโลกนับวันก็ยิ่งเพิ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น เชื้อแห่งการเกลียดชังก็ถูกจุดติดได้ง่าย ฝากฝั่งแห่งสันสุขก็ยิ่งไกลลิบออกไปทุกที

การยึดมั่น ถือมั่นมากเกินไปในสังคมวัตถุนั้น ไม่เคยทำให้สุขกาย สุขใจ ได้อย่างแท้จริง เป็นเหมือนการว่ายจากฝั่งสู่ทะเล เห็นน้ำจรดขอบฟ้าอยู่ลิบๆ แต่ว่ายเท่าไหร่ๆ ก็ยิ่งไกล และไปไม่ถึง ต่อเมื่อ กลับตัวกลับใจ ได้เมื่อไหร่นั่นแหละ คือ ฟากฝั่ง การกลับตัวกลับใจนัยหนึ่ง คือ การกลับคืนสู่ จุดสมดุลที่มีแก่นอยู่ที่จิตใจ ที่ต้องอาศัยความรัก การให้อภัย เหมือนกับเด็กเล็กๆที่ไปอยู่กับใครก็ได้ เพราะจิตใจของพวกเขาไร้มลทินและพร้อมที่จะปรับตัวเสมอ ใช่หรือเปล่า เราทุกคนก็เคยเป็นเด็กมาก่อน แต่จิตใจแบบเด็กในตัวเราไปหายไปไหนกันหมด หรือเป็นเพราะเราหลงลืมฝากฝั่งเก่าๆชอบที่จะออกว่ายไปหาฝากฝั่งสังคมใหม่ที่ดูไกลแสนไกลและเราจะมีวันไปถึงหรือไม่ยังไม่รู้ สุดท้ายเราคงหมดแรงลงก่อน...อย่างไม่ต้องสงสัย