วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2566

กลัวไปก็เท่านั้น

 

กลัวไปก็เท่านั้น

>>> จะกลัวอะไรกับการเริ่มต้นใหม่บ่อย ๆ <<<

ทุกคนล้วนมีสิ่งกลัวไม่มากก็น้อย เป็นความรู้สึกลึก ๆ ที่เก็บซ่อนไว้ในใจ ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับมันเพราะเหตุผลบางประการที่เราสร้างขึ้นมา ความกลัวมีหลายรูปแบบ ตอนเด็ก ๆ กลัวความมืด กลัวผี กลัวตำรวจ กลัวพ่อแม่ กลัวตุ๊กแก พอเริ่มโตขึ้นเป็นวัยรุ่นกลัวเรื่องความรัก กลัวไม่มีเพื่อน กลัวไม่มีคนรัก บางคนกลัวการรู้จักผู้คน ในวัยทำงานก็กลัวความไม่มั่นคง กลัวไม่มีเงิน กลัวการไม่เป็นที่ยอมรับ อายุมากขึ้นก็กลัวความโดดเดี่ยว กลัวความเงียบก็มี และอื่น ๆ  ไม่ว่าจะเป็นความกลัวในรูปแบบไหน ก็มาจากกลัวความไม่แน่นอน ใช่หรือไม่ สิ่งที่เรากลัวมันไม่มีอยู่จริง มักจะวนเวียนอยู่ในความคิดเสียมากกว่า



บางทีความกลัวก็เกิดตามกระแสแห่งยุคสมัย หลายคนกลัวการถูกตัดสินจากคนอื่น กลัวจะไม่มีตัวตนในโลกออนไลน์ กลัวไม่มีแสง ในโลกแห่งการพูดด้วยอักษรสาร เรามักจะตัดสินคนง่ายจนกลายเป็นนิสัย ทำให้ไม่ค่อยกล้าที่จะทำตามสิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่น ไม่กล้าที่จะทำตามความรู้สึก และความต้องการของตนเองที่แท้จริง เรากล้าที่จะกลัวแล้วเหตุใดไม่กล้าที่จะเชื่อเล่า ใครจะตัดสินก็อย่าไปใส่ใจ การกลัวที่จะถูกตัดสิน ก็คือ การเห็นแก่ตัวเองอย่างหนึ่งเหมือนกัน

ช่วงชีวิตที่ผ่านมาเราใช้เวลาหมดไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่องก็มากมาย หันมากำหนดชีวิตของตัวเองใหม่ อย่ากลัว ขาดเงิน ก็หาใหม่ได้ ขาดเพื่อน ก็เลือกคบใหม่ได้ ขาดงาน ก็เพียงหาอะไรทำใหม่ได้ จะกลัวอะไรกับการเริ่มต้นใหม่ หากเรามีจิตวิญญาณนักสู้อยู่บ้าง ลุกขึ้นสู้ยืนท้าทาย อย่าไปกลัวความล้มเหลว จงกลัวความล้มเลิก

ความล้มเหลวเป็นเรื่องที่ธรรมดา ความล้มเหลวในยุคนี้ไม่ได้ทำให้เราตาย การที่ไม่เคยล้มเหลวเลย คือ ความสบายที่นำมาซึ่งความอ่อนแอ วันนี้เราสบายขึ้นทุกวัน ไม่ต้องออกจากบ้าน แค่ยกมือถือกดสั่ง อาหาร สิ่งที่ต้องการก็มาส่งถึงบ้านแล้ว เราไม่เคยขาดสิ่งใด จะขาดก็แค่ความกล้าในการเริ่มต้นใหม่ ความกลัวนั้นไม่น่ากลัวสมชื่อ ถ้าเราเข้าใจ เรียนรู้นำประโยชน์จากความกลัวมาสร้างพลังใจ สร้างจิตวิญญาณให้แข็งแกร่งขึ้น กลัวไปก็เท่านั้นว่าไหม.....

วันเสาร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2566

ก็มีบ้างที่อ่อนแอ

 

ก็มีบ้างที่อ่อนแอ

>>> คนเราอ่อนแอบ้างก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเก่งตลอดเวลา <<<

คงต้องมีสักครั้งหรือหลายครั้งในชีวิตหนึ่ง ที่ต้องอ่อนแอจนนำไปสู่ความท้อแท้ เหนื่อยแต่ต้องเก็บไว้ อ่อนล้าแต่ไม่กล้าบอกใคร ได้แต่บอกว่าไม่เป็นอะไร เก็บความรู้สึกแย่  ๆ เอาไว้ในใจ ลึก ๆ แล้ว ก็ไม่ได้อยากมีพลังงานลบไปกระทบใคร ๆ ในบางโอกาสสอนคนอื่นได้ ปลอบโยนคนอื่นได้ เพราะไม่ได้ตกอยู่ในสภาพเดียวกับเขา วันใดที่อ่อนแอเหมือนกับเขา ก็มักสอนตัวเองไม่ได้ จะสงบต่อไปได้หรือเปล่า เพราะวันใดที่ต้องไปยืนอยู่ในจุดนั้น ลิ้มรสแห่งความทุกข์เหมือนเขา ชีวิตเราอาจพังไปไม่เป็นท่าก็ได้ อะไรเล่า??? ที่จะทำให้เรายืนอยู่ได้แม้ในวันที่เราอ่อนแอ

มีคนกล่าวไว้ว่า... เก่งกาจแค่ไหน แต่ก็ยังต้องการ “กำลังใจ” วิ่งเร็วแค่ไหน ก็ยังต้องก้าวไปได้ “ทีละก้าว” หิวโหยแค่ไหน ก็ยังต้องกินข้าวได้ “ทีละคำ” ยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ต้องเคยอ่อนแอพ่ายแพ้ “สักครั้ง” อยากให้เวลาผ่านไปเร็วแค่ไหน ก็ต้องใช้ชีวิตไป “ทีละวัน” ไม่มีชัยชนะใดที่ถาวร และไม่มีความพ่ายแพ้ใดที่เป็นนิรันดร์ ขอแค่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค แล้วทุกอย่างจะผ่านไปได้เสมอ


ความอ่อนแอเป็นเรื่องปกติ แต่เพราะสังคมวันนี้ มักทำให้ความอ่อนแอเป็นเรื่องที่น่าอับอาย อ่อนแอก็แพ้ไป จึงทำให้ไปหลายคนตกหล่นไปอยู่ในความมืดมนตลอดเวลา ใช่หรือไม่ ความอ่อนแอเป็นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน ความอ่อนแอไม่ใช่สิ่งน่ารังเกียจ และความเข้มแข็งก็ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิตคนเรา การรู้จักยอมรับ เรียนรู้กับความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างซื่อตรงต่างหากคือสิ่งสำคัญ ไม่ว่าโลกจะสวยงาม หรือโหดร้าย เราก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป บางวัน เบื่อ ๆ เหนื่อย ๆ เพราะชีวิตจริงไม่ใช่ละคร ที่จบได้ความสุขสมหวัง มีแต่จิตใจที่เข้มแข็งเท่านั้น ที่จะผ่านวันแย่ ๆ ไปได้ โลกมันหมุนตลอดเวลา วันนี้อาจจะอยู่ด้านมืด เดี๋ยวไม่นานก็จะหมุนไปเจอด้านสว่าง พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว

วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2566

ครองใจให้ได้ อย่าคิดไปครองโลก

 

ครองใจให้ได้ อย่าคิดไปครองโลก

>>> อย่าเสียเวลาไปกับการพยายามให้คนอื่นคิดเหมือนเรา <<<

3-4 ปีที่ผ่านมานี้ มีเหตุการณ์ผกผันเกิดขึ้นมากมาย ทั้งโรคภัยไข้เจ็บ ภัยเศรษฐกิจ ภัยพิบัติ ภัยจากกิเลส จากความโลภของเพื่อนมนุษย์ แม้แต่ภัยจากแสง จากฝุ่น เอาง่าย ๆ เลย แดดสมัยนี้ร้อนกว่าเมื่อยี่สิบปีก่อนมาก เดินตามริมถนนไม่นานเหงื่อไหลโชก ทิชชู่เช็ดก็เอาไม่อยู่ โลกเปลี่ยนไปในทางร้อน แล้ง จิตใจผู้คนก็เปลี่ยนเป็น แห้ง กร้าน หยาบ ทั้งสิ่งแวดล้อมและจิตใจผู้คน ต้องอาศัยความเข้มแข็ง ศรัทธาสูงส่งจึงยืนหยัดได้


บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่า พระเจ้าทรงมอบเหตุการณ์ยาก ๆ คนหยาบ ๆ ต้องมีเหตุผลที่ดีแหละ ให้มาเป็นของขวัญที่มีค่ายิ่ง ทำให้เกิดการเรียนรู้ ปรับจิตปรุงใจ สงบจิต สงบใจ อยู่กับใจของตัวเราให้ได้ ตระหนักให้ได้ว่า ในทุกกรณีพระเจ้าพยายามบอกอะไรกับเรา ไหน ๆ ก็ไหน ๆ เมื่อเราอยู่ในโลกแห่งการเปลี่ยนเร็ว กระด้าง เช่นนี้แล้ว ก็ใช้ทุกความท้าทายในทุกช่วงเวลาของชีวิต ให้เป็นไปเพื่อความเจริญเติบโตทั้งทางโลก และทางธรรมกันดีกว่า

ใช่หรือไม่ ในวันนี้เราโกรธกันง่ายและเร็วขึ้น ง่ายที่จะโกรธเกลียดใครก็ได้ที่ไม่อยู่ข้างเรา ใครก็ได้ที่ไม่ฟังเรา เพราะโลกเราวันนี้มีแต่คนเอาข้อมูลของตัวเองเป็นที่ตั้ง แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาให้คนอื่นต้องคล้อยตาม เมื่อทุกคนเป็นเช่นนี้หมด ความขัดแย้งก็ตามมา ความโกรธก็ครองใจ ครองโลก หากพิจารณาดูดี ๆ เราจะพบว่า แท้จริงแล้ว เราไม่ได้โกรธไม่ได้เกลียดผู้คน สิ่งที่เราโกรธเกลียด คือ พฤติกรรม คำพูด ทีท่า นิสัยใจคอแย่ ๆ ของเขาต่างหาก ที่สุดแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ ความรู้สึก การควบคุมจิตใจของเราเอง

เช่นนี้แล้วใยจึงไปเพิ่มปัญหาให้กับชีวิตจิตใจตัวเองทำไม ยิ่งถ้าเราไปต่อความยาวสาวความยืด เราคงไม่ต่างอะไรจากเขา จัดการเขาแล้วได้อะไร จัดการใจตัวเองไม่ดีกว่าหรือ จงพยายามอย่าให้ใจของเราไปวุ่นวาย ไปจอแจ ให้ยุ่งยาก คอยดูใจตัวเองให้ดี ครองใจตัวเองให้มันได้ อย่าคิดไปครองโลก  เท่านี้ก็สุขแล้ว เบาได้เบาในทุกเรื่อง....

วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2566

พอดีเท่ากับพอพระทัย

 

พอดีเท่ากับพอพระทัย

>>> ชีวิตเราควรหาหนังนุ่มผืนใหญ่มาหุ้มโลก หรือ

หาหนังนุ่มพอดีสองฝ่าเท้ามาหุ้มเท้าไว้ให้เรียบร้อย <<<  ศานติเทวะ ปราชญ์ชาวอินเดีย

เมื่อร่างกายอ่อนล้า จิตใจย่อมหดหู่ เช่นกันเมื่อจิตใจเศร้าโศก ร่างกายก็เชื่องช้า สมองคิดไม่แล่น ไม่มีกะจิตกะใจทำไร ในช่วงชีวิตคนเราก็มักมีกับสิ่งเหล่านี้ได้ทั้งนั้น ความไม่สมดุลแบบนี้นั้นอาจจะมาจากปัจจัยหลากหลายกันไป ด้วยเงื่อนไขชีวิตที่แตกต่างกัน เป้าหมาย และโจทย์ที่แตกต่างกัน แม้กระทั้งวัย ศักยภาพ ประสบการณ์ ความพร้อมที่แตกต่างกัน ทำให้ความสุข ย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมดา เราควรที่จะพอใจ และภูมิใจกับความสุข ในจังหวะ และรูปแบบที่เหมาะสมแบบของเรา แบบพอดี เพราะความพอดีของเราแต่ละคนมีความแตกต่างกัน


ใช่หรือไม่ บนโลกนี้ส่วนมากมักถูกขับเคลื่อนด้วย “ความไม่พอ” มักถูกคำถักถางว่ายังดีไม่พอ ยังเก่งไม่พอ ยังมีไม่พอ ทำให้เราต้องโหยหาไขว่คว้าจนเคว้งคว้าง ยิ่งเราสะสมความสำเร็จ สุขแบบชั่วคราว เราก็ยิ่งให้ความสำคัญกับตัวเอง ลืมมองคนรอบข้าง เปล่งแสงแห่งตนจนหลงลืมแสงแห่งจักรวาลไป เราก็แค่แสงโคมไฟส่องเพียงที่ใดที่หนึ่ง หาใช่แสงส่องไปทั่วโลก เรายิ่งต้องรู้จักพอ รู้ว่าพอดี และพอใจ อะไรที่พอเหมาะพอดี รู้จักพึงพอใจในสิ่งที่มี สิ่งที่ได้ จะขวนขวายสิ่งใด ก็ไม่ได้ทำด้วยโลภ ด้วยความโกรธ แสวงหาด้วยความเข้าใจ และคำนึงว่าเราต้องแสวงหาน้ำพระทัยด้วยความสบายใจของเรา

การดำเนินชีวิตบนโลกที่มีหนามแหลมคม คอยเกี่ยวเหนี่ยวรั้งให้ปลอดภัยเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ไม่จำเป็นต้องครองโลก แค่รู้จักรักษากายรักษาใจให้สมดุล ก็สามารถอยู่กับโลกได้อย่างปลอดภัย ดำเนินชีวิตด้วยสันติสุขกับทุกคน ด้วยความรักของพระเจ้า โดยไม่หวังการตอบแทน ชีวิตที่พอดีของเราเช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า