วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2564

ตัวตนคนเช่นเรา

 

ตัวตนคนเช่นเรา

>>>ในสายตาของคนอื่น เราจะเป็นอะไร ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขามองเราอย่างไร

หากอยากให้ใครต่อใครสรรเสริญ เราต้องทำให้เขารู้ว่าเรานี่แหละของจริงคนจริง

บ่อยครั้งเราแก้ไขปัญหาให้ใครต่อใครได้ แต่เมื่อเจอปัญหา กลับหาทางออกไม่เจอ<<<

ลมเย็น ๆ พัดมาในช่วงเวลาใกล้สิ้นปี ในบรรยากาศคริสต์มาสเช่นนี้ ย้อนรำลึกวันเก่าก่อน หลายปีที่คริสต์มาสไม่ได้สัมผัสกับอากาศที่เย็น ๆ สบาย ๆ แบบนี้มานาน แต่ทว่าปีนี้แม้จะมีอากาศเย็นสร้างบรรยากาศบ้าง  เรากลับต้องมาระแวดระวังตัวกันมากขึ้น เพื่อไม่ให้เจ้าโควิดมากัดกินชีวิตเราและคนรอบข้าง คงเป็นคริสต์มาสที่ไม่ใคร่จะรื่นเริงนัก แต่แลดูสงบ ซึ่งก็ตรงกับความเป็นจริงที่คืนนั้น เด็กชายคนหนึ่งลืมตาดูโลกอย่างเงียบ ในมุมเหลือบโลก ตัวตนของคืนคริสต์มาสจึงมิใช่การรื่นเริง แต่เป็นการชื่นชมในความรัก ที่เด็กชายคนหนึ่งมามอบให้กับทุกมุมโลกในวันนี้

 


ในขณะขับรถกลับบ้านท่ามกลางอากาศเย็น ๆ คลอด้วยเสียงเพลงที่เปิดไว้เป็นเพื่อนวนเวียนเปลี่ยนไปพอให้เพลินเพลิด บทเพลง when a child is born เวียนมา ฟังไปก็คิดตาม เราผ่านชีวิตที่เกิดมาเพื่อเป็นอะไร ผ่านพบผู้คนมามากมายหลากหลาย ชอบสังสรรค์ในวัยหนึ่ง ชอบอยู่เงียบ ๆ ในวัยนี้ ไม่วุ่นวายกับใคร ๆ ไม่ใช่เบื่อหน่ายผู้คน แต่เบื่อหน่ายความจอมปลอมของผู้คนมากกว่า บ่อยครั้งก็ยังรู้สึกว่าแท้จริงตัวตนเรา คือใครกันแน่??? เพราะในสายตาคนอื่นเราอาจจะเป็นฮีโร่ผู้ประเสริฐ ในสายตาอีกคนหนึ่งเราก็แค่คนไม่ฉลาด ขลาดเขลา คนหนึ่ง อีกคนหนึ่งพึงพาเรา อีกคนหนึ่งผลักไสเรา แล้วเราในสายตาเรเองเป็นอย่างไร คำตอบนี้อยู่ที่เราต้องตอบให้ได้ โดยละทิ้งทุกสายตาทุกความคาดหวังในตัวเรา

การเกิดมาของคน ๆ หนึ่ง ย่อมมีความหมายเสมอ ไม่จำเป็นหรอกที่ต้องใช้ ชีวิตจอมปลอม เพื่อเอาใจคนอื่น จริงหรือปลอมดูกันไม่ยาก บางคนชอบสร้างภาพโอ้อวดออกสื่อ ยิ่งในยุคที่คำด่าหยาบคายถูกใจใครหลายคนโดยเฉพาะในสังคมออนไลน์ จึงกลายเป็นหนทางสร้างชื่อเสียง ที่หลายคนปรารถนา ทำให้หลายคนหลงทาง เดินเข้าไปเพียงเพื่ออยากจะมีตัวตนกับเขาบ้าง ยอมละทิ้งตัวตนของตนเองไว้ข้างทาง เหมือนสับสนไม่ชัดเจนสักเรื่องในชีวิต หลอกตัวเองจนตัวเองเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริง สร้างดราม่า สร้าวเรื่องเพื่อเรียกยอดไลค์ เพื่อให้ตัวเองดูดีที่ไม่ถาวร ก็คงต้องเหนื่อยไปทั้งชีวิต ตัวตนคนแบบนี้น่าสงสารเสียนี่กระไร เราจะเป็นกันแบบนี้หรือ ชีวิตที่เรียบง่าย กลับหายากในหมู่ผู้คนสมัยใหม่  ไร้การรับผิดต่อมโนธรรมสำนึกของตน

เราต้องมีความกล้าหาญเดินไปบนทางที่ตนเลือก อย่าใส่ใจการมองของคนอื่นให้มากนัก ชีวิตคนแสนสั้น สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่า เราสามารถปลดปล่อยพันธนาการจาก แค้น ชิงชัง ได้หรือไม่ต่างหาก! เราต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า เราก็คือพระเจ้า ในเมื่อพระเจ้าเป็นองค์ความรักและเมตตาใยเจาจึงไร้รักกับผู้อื่น เราจึงไร้เมตตาต่อผู้คน เพราะเราต่างหลงลืมตัวตน กุมารน้อยประสูติมาเพื่อเผยตัวตน แสดงความรักที่มีอยู่แล้วในตัวตนของเรา อย่าให้สิ่งอื่นมาบัญชาตัวตนคนเช่นเราให้ห่างไกลจากองค์ความจริงไปเลย



วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2564

โต้คลื่นชีวิต

 

โต้คลื่นชีวิต

>>> บางช่วงขณะชีวิตก็เหมือนกำลังต่อสู้กับคลื่นลมแรง

ที่พร้อมซัดสาดกระหน่ำถาโถมเข้าใส่ คนหัวใจแกร่งจึงพร้อมยืนสู้

ผู้ที่เข้มแข็งจะออกไปเผชิญหน้ากับคลื่นลมด้วยความเบิกบาน <<<

ทะเลดูเหมือนจะเป็นที่ที่ให้เราพักกายผ่อนจิต แม้จะมีเสียงคลื่นลมพัดพาดผ่าน แต่ก็มิได้ทำให้เกิดความวุ่ยวายใด ๆ กลับมีสันติสงบขึ้นภายใน เป็นอีกหนึ่งวาระที่ได้มานอนรับลมชมวิวหน้าหาดหัวหิน มีสิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด คือ ทะเลฤดูนี้มีคลื่นลมที่แรงขึ้น และมีผู้คนมากขึ้น อันเนื่องมาจากการเปิดประเทศ เห็นชาวต่างชาติหลากเชื้อชาติมาเดินเล่น ที่ออกจะแปลกตากว่าทุกครั้ง นั่นคือ ทะเลเบื้องหน้าเต็มไปด้วยนักเล่นกระดานโต้คลื่น โดยใช้ว่าวลากนำไปตามทิศทางลม ยิ่งมีลมแรง ยิ่งเห็นคนมาเล่นแบบนี้มาก เขาเล่นอะไรกัน? คำถามแรกที่ผุดขึ้นในใจ ลองหาคำตอบจากป้ายริมหาดที่เชิญชวนใช้บริการ เห็นเขียนไว้ว่า ไคท์เซิร์ฟ (kitesurf) หรือ ไคท์ บอร์ดดิ้ง (kite boarding) ลองหาข้มูลได้ใจความว่า เป็นกีฬาท้าทายทางน้ำสำหรับคนรุ่นใหม่ ความน่าตื่นเต้นของกีฬานี้ ก็คือ การที่จะได้ล่องลอย ท้าทายเกลียวคลื่นอย่างเป็นอิสระ เพียงแค่ให้อุปกรณ์สองอย่าง คือ ว่าว และ เซิร์ฟบอร์ด แต่การที่จะต้องบังคับว่าวให้ไปในทิศางที่ต้องการถือว่าเป็นความท้าทายไม่น้อย บงคับผิดก็คว่ำ ร่างกายต้องแข็งแรง ผ่านการฝึกฝน ผ่านการล้ม ล่ม จม ตระกาย ยืนให้เป็นบนกระดานเล็ก ๆ ถึงจะโลดแล่นไปได้ดังใจหมาย

นั่งดูนั่งลุ้นมือใหม่หลายคนฝึกเล่น เพลิดเพลินกับผู้ชำนาญโต้คลื่นลม ตีลังกา กระโดดล่องลอยบนยอดคลื่น ก็ทำให้คิดถึงชีวิตคนเรา ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ ตราบนั้นก็ยังคงต้องเผชิญกับคลื่นทุกข์คลื่นสุขคลุกเคล้ากันไป จะอย่างไรเสีย เมื่อเรายังมีลมหายใจ ชีวิตก็จำเป็นต้องเดินหน้าฝ่าทุกคลื่นกันต่อไป หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องหาทางสร้างความเบิกบาน หาทางเป็นอิสระจากความทุกข์ให้ได้ หากจะพูดไปแล้ว ชีวิตเราก็มักมีคลื่นทั้งเล็กและใหญ่สาดซัดเข้าหาตลอดเวลา ไม่มีใครสามารถไปยับยั้งได้ ถ้ากลัวคลื่น ชีวิตก็จะมีแต่ความหวาดหวั่นไม่เป็นสุข

นักเล่นกระดานโต้คลื่นกลับเห็นว่าคลื่นทะเล ทำให้พวกเขาสามารถเล่นกระดานโต้คลื่นได้อย่างสนุกสนาน เมื่อทะเลมีคลื่นลม นักเล่นกระดานโต้คลื่นก็จะเริงรื่นกับการโต้คลื่นในทะเล ทุกคนรู้ว่ากว่าจะเล่นกระดานโต้คลื่นได้อย่างสนุกสนานนั้น จะต้องเริ่มต้นด้วยการทำใจไม่ให้กลัวคลื่นก่อน หลังจากนั้นก็จะต้องฝึกร่างกายและกล้ามเนื้อให้แข็งแรง เพื่อที่จะสามารถประคองตัวต้านแรงคลื่นได้


คลื่นชีวิตก็เช่นกัน คนที่จะมีความสุขได้ก็ต้องทำใจให้เชื่อมั่นเสียก่อนว่า เมื่อเกิดมาบนโลกใบนี้แล้ว พระเจ้าไม่ทอดทิ้งเราแน่นอน เหมือนกับที่พระนางมารีย์เชื่อมั่นในการรับที่ตั้งครรภ์ โดยที่ยังไม่แต่งงาน คลื่นคำนินทาที่จะถาโถมย่อมมีแน่นอน ทุกสายตาด้วยความเหยียดหยามของคนรอบข้างจะพุ่งใส่ ด้วยการจะฝึกใจให้เข้มแข็งทำตามสิ่งพระเจ้าบอก เดินทางฝ่าออกไปไปตามทางของตัวเอง พระเจ้าประคองข้าง ทำให้แม่พระสามารถโต้คลื่นชีวิตได้อย่างเป็นสุข พบกับความยินดีในวันที่ได้พบพระนางเอลีซาเบ็ท วันนี้เราเพบความยินดีบ้างหรือยังท่ามกลางคลื่นทุกข์สุขของวันเวลา

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2564

ชีวิตเบิกบาน

 

ชีวิตเบิกบาน

>>> ชีวิตทุกวันนี้เราต่างแสวงหาความสุข ที่ยังไปถึงความเบิกบาน

ความสุขมักจะเกี่ยวข้องกับปัจจัยภายนอกที่เราแสวงหาไขว่คว้า

ความเบิกบานนั้นอยู่ที่เรียนรุ้ ยอมรับในทุกสถานการณ์ มองทุกสิ่งอย่างเป็นกลาง <<<

            เช้าวันพฤหัสฯที่ผ่านมา เสียงเตือนข้อความเข้าดังขึ้น ครั้นเปิดดูก็รู้สึกใจหาย เศร้าใจ เพราะพี่ที่เคยกินนอน ทำงานด้วยกัน เมื่อครั้งเริ่มบุกเบิกองค์กร จากไปอย่างไม่มีวันห้วนกลับในร่างกายปกติ ความทรงจำเปิดประตูทะลักออกมา ในวันที่พวกเราต้องเช่าห้องอยู่ด้วยกัน 4-5 คน เพื่อให้ใกล้กับที่ทำงานใหม่ (ย้ายจากที่เก่าในภาวะจำยอม) ซึ่งไกลบ้านพักอาศัยของทุกคน เราต่างจับจองมุมห้อง มุมใครมุมมัน มีชีวิตร่วมกันเกือบ 24 ชั่วโมง เป็นความผูกพันที่ผ่านวันผันคืน ผ่านปีแล้วปีเล่า จึงก่อให้เกิดมิตรภาพที่มิอาจจะทิ้งขว้างลงได้ อยู่ร่วมกัน กินดื่มด้วยกัน สนุกด้วยกัน ทุกข์ร่วมกัน โกรธกัน ทะเลาะกัน มีครบทุกรสชาติของชีวิต

            หลังจากต่างเติบโต ต่างคนต่างก็เริ่มมีวิถีชีวิตของตัวเอง การติดต่อสื่อสารก็ยังพอมีอยู่บ้าง จวบจนเมื่อหลายปีก่อนได้ข่าวว่าพี่คนนี้ล้มป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล จึงนัดรวมตัวกันไปเยี่ยม รับรู้ว่าเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงขั้นรุนแรง ต้องใช้เวลารักษาเยี่ยวยานานพอสมควร และต้องกลายเป็นคนป่วยที่นอนติดเตียง แต่เพราะกำลังใจที่เต็มเปี่ยม มีความเชื่อความศรัทธาในพระอย่างเต็มล้น จึงมีผู้ที่ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูล จนกระทั่งได้ไปรักษาตัวในศูนย์เฉพาะทาง และกลายเป็นบุคคลต้นแบบในการใช้ระบบคอมพิวเตอร์สื่อสารผ่านการสั่งด้วยการกระพริบตา ด้วยความมุ่งมั่นในการต้องมีชีวิตอยู่ เพื่อเห็นลูกสาวผู้น่ารักเติบโต จากคนป่วยกลายเป็นคนเปลี่ยน เปลี่ยนทัศนคติ ทำให้พวกเราพบกับความเบิกบานทุกครั้งที่ได้สนทนาผ่านตัวอักษร เราต่างหากที่ได้รับพลังจากพี่ที่ป่วยคนนี้ ความสุขที่เปลี่ยนจากการยอมรับ เรียนรู้ และพัฒนาตัวเองมันกลายเป็นความเบิกบานในชีวิตคน ๆ หนึ่งได้จริง

การมีจิตใจแจ่มใสสดชื่นไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม   แม้ในขณะที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากแสนสาหัส              ก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใสได้  และยังเอาใจใส่ต่อทุกผู้คน นี่เป็นความเบิกบาน หาใช่ การใช้ชีวิตแบบเพลิดเพลิน  ที่มีนัยของการเสพสุขหรือหาความสุขจากสิ่งที่เสพเพียงด้านเดียว  ความสุขที่เราเสพเข้าไปอย่างเพลิดเพลินนั้นมันไม่เที่ยงแท้ถาวร ใช่ เราต่างแสวงหาความสุข แต่ที่สุดเราจะต้องไปให้ถึงความเบิกบาน ความยินดีในชีวิตด้วย

ความสุขขั้นพื้นฐานเริ่มต้นมาจากภายในตัวเรา ไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่การมีอำนาจ หรือไม่ใช่ตำแหน่งทางสังคม สมบัติภายนอกไม่สามารถสร้างสันติในใจได้ ไม่สามารถนำความแช่มชื่นเบิกบานที่แท้จริงซึ่งเกิดอยู่ภายในได้เลย

“ความเบิกบาน นั้น ยิ่งใหญ่กว่า ความสุข ขณะที่ความสุขมักถูกมองว่าขึ้นกับเหตุการณ์ภายนอก แต่ความเบิกบานนั้นเกิดจากความรู้สึก ความเบิกบานเกิดขึ้นได้ทันทีทดแทนความทุกข์ คนเรานั้นมีทั้งกาย ใจ จิตวิญญาณ ชีวิตคนเราต้องมีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่  มีรอยยิ้มให้แก่กัน  ถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน ความทุกข์นั้นมาจากการสร้างขึ้นเอง ให้กำลังใจกับตัวเรา  ให้ทุก ๆ วันของเราเป็นวันที่มีความหมาย  ให้คนรอบข้างเราเป็นเหมือนกระจกไม่ควรละเลยที่จะใส่ใจกัน   เกื้อกูลซึ่งกันและกัน   รู้จักแบ่งปัน   เข้าใจผู้อื่น  และต้องเอาใจใส่ต่อกันและกัน  เพียงเท่านี้เรามีชีวิตก็ที่สงบสุขและเบิกบานได้ในทุกสภาพ



แด่ พี่ตั้ม วีรนนท์ ทรรทรานนท์ ผู้เป็นต้นแบบชีวิตที่เบิกบานในยามเจ็บป่วย

สัปดาห์แห่งความเบิกบานเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า

วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2564

พลังแห่งความช้า

 

พลังแห่งความช้า

>>> ค่อย ๆ ไป มองเห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านเข้ามาข้างทาง

ช้าลงบ้าง อาจจะเสียเวลาสีชักหน่อย แต่ได้ความหนักแน่น ปลอดภัยมากขึ้น

ในความเร็วมีพลัง ในความช้าก็ย่อมมีพลังเช่นกัน <<<


            ย้อนหลังกลับไปเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา
เวลาขับรถ คันที่ใช้อยู่เป็นประจำออกต่างจังหวัด มักจะใช้ความรวดเร่งไม่ต่ำกว่า 120 เพราะทั้งรถทั้งคนมีพลังล้นเหลือ วันนี้รถคันนี้แม้จะเป็นรถสำรอง แต่ก็ยังใช้มันอยู่ และด้วยทั้งคนทั้งเครื่องเริ่มโรยรา จะเร่งความเร็วมากไปความร้อนรถก็จะขึ้น เครื่องดับกลางทาง เวลาขับจึงจำต้องค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป หาเวลาที่รถราบนถนนไม่คับคั้ง รถไม่ติดมาจึงออกเดินทาง ชีวิตมีความช้าลง รู้จักที่ใช้ชีวิตมากขึ้น มองเห็นความจริง มองเห็นและใส่ใจผู้คนมากขึ้น จนบางครั้งยอมเป็นคนไม่รู้ เพื่อรักษาน้ำจิตน้ำมิตรของคู่สนทนา

วันหนึ่งเมื่อขับมาถึงที่พักในยามเช้าตรู่ เห็นหอยทากตัวหนึ่งบนกำแพง หะแรกที่คิดทำไมมาไต่บนกำแพงบ้านเช่นนี้ ก็ปล่อยให้มันค่อย ๆ ไต่ไป จุดหมายมันตรงไหนมิอาจจะรู้ได้ และก็ไม่ควรจะไปรู้ มันค่อย ๆ คืบคลานไป ชีวิตไม่เร่งรีบ เลยทำให้เห็นว่า บางทีชีวิตเราก็ต้องเป็นเช่นนั้นบ้าง จะเร่งรีบไปกันทำไม การใช้ชีวิตแบบไม่เร่งรีบ ไม่ใช่ไม่กระตือรือร้น เพียงแต่รอบคอบ หาใช่การหยุดพัฒนาแต่วัฒนามากขึ้น  เพื่อชีวิตที่มีสุข ก่อเกิดพลังและมุมมองมากขึ้น  การช้าลงสักหน่อยก็ทำให้รู้จักโฟกัสมากขึ้น และทำอะไรน้อยอย่างลง ให้มีคุณค่ามากขึ้น แทนที่จะทำหลาย ๆ อย่าง เลือกทำสิ่งสำคัญที่สุดเพียงอย่างเดียว และเก็บเรื่องอื่นไว้ทำในเวลาที่เหมาะสม ทำอะไรให้ช้าก็ต้องมีสติ ไม่คิดฟุ้งซ่าน อ่านหนังสือมากขึ้น ลดการใช้เทคโนโลยีให้น้อยลง จะได้ไม่ไปวิ่งไล่ตามความเร็วของกระแสแห่งการเอารัดเอาเปรียบ

เราอยู่ในยุคที่ต่างรีบต่างเร่ง ต่างเก่งต่างแกล้ง ละเลยความเป็นคนต่อกัน ถ้าวันนี้เราทำชีวิตให้ช้าลงแม้กำลังอยู่ในวันเวลาที่หมุนเปลี่ยนไป โดยหันมาใส่ใจผู้คน ครอบครัว และคนรอบข้างให้มากขึ้น ห่วงใย และเอื้ออาทรต่อกันอย่างจริงใจ ใส่ใจโดยไม่ใส่ความคิดของเราต่อคนอื่น ไม่ใช้มาตรฐานส่วนตนวัคนอื่น การช้าลงจะให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น แล้วนั้นเราจะเข้าใจคนอื่นง่ายขึ้น ไม่ปิดประตูที่จะเมตตาต่อผู้คน มองทุกผู้คนด้วยหัวใจที่อ่อนโยนไม่ใช่ด้วยสายตาแห่งการดูถูกหยามหยัน ไม่โอ้อวดโชว์เพาว์ในความรู้หรือไม่รู้ เพราะความรู้มนุษย์เราก็รู้แค่เพียงปลายจมูกตัวเอง

 เมื่อเราช้าลงจะมีเวลามากขึ้น ควรใช้โอกาสชื่นชมความงดงามของธรรมชาติ แม้จะเป็นเพียงต้นไม้ดอกไม้หน้าบ้าน นกทำรัง แมลงปอล้อลม ผีเสื้อลักน้ำหวานจากเกสรดอกไม้  ตื่นเช้ามาเดินสูดอากาศบริสุทธิ์ยืดแข้งยืดขา และที่สุดเมื่อความเสื่อมถอยของร่างกายมักเตือนเราว่า ร่างกายเราผ่านความสมบุกสมบันมามาก ก็ต้องหัดที่จะรับประทานของบำรุง มีเวลาสุนทรีย์กับอาหารด้วยฝีมือตัวเอง ค่อยๆ เคี้ยว เพื่อรับรู้ความอร่อยของรสอาหาร ระบบร่างกายก็จะค่อย ๆ ย่อย จะสร้างความรื่นรมย์ให้กับชีวิต

หาความสุขง่ายๆ และรื่นรมย์กับทุกอย่างที่พบเจอ ไม่ว่าจะทำอะไร ขอให้ทำด้วยความสุขและความเต็มใจ แม้แต่ เปิดเพลงเบา ๆ เพียงเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ นี่ใช่หรือไม่ เป็นการตระเตรียมตัวของเราเพื่อหนทางใหม่ในชีวิตที่ทุกคนจะต้องเดินไปถึงเหมือนกัน เดินช้าเห็นความงาม เดินเร็วไปไม่จะเห็นอะไรเลย หนทางชิวิตเราต้องเตรียมให้พร้อม ยิ่งรอบคอบ ยิ่งมั่นคง ทางนั้นจะราบเรียบ สะอาด และงดงาม