วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2567

อวยพรเมื่อมีพร

 อวยพรเมื่อมีพร

อวยพรเมื่อมีพร

>>> อยากได้สิ่งดี ก็ทำให้ดี ให้ถูกต้อง ถูกที่ ถูกทาง ถูกคน <<<

เดือนสุดท้ายมาถึง อากาศเย็นมาเยือน ในเดือนนี้เป็นเดือนแห่งความหวังของหลาย ๆ คน เป็นเดือนมงคลที่จะได้รับพร ได้รับของขวัญ และที่สุดก็เป็นเวลาที่หลากหลายคนออกมาทำบุญให้ทานพร้อมทั้งตะเวนขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานสิ่งที่ตนเองต้องการ  แต่บางทีก็ขออย่างกับสั่งได้ พอไม่ได้ดั่งใจก็พาล แท้จริงแล้วพรมันอยู่ที่ตัวเราต่างหาก อยากจะได้พรประเสริฐ ก็ต้องทำตัวให้ประเสริฐ เช่นนี้แล้วเราให้พรใครพรนั้นก็ย่อมเป็นพรประเสริฐเช่นกัน

เราต้องรู้จักสร้างพรโดยมีความเพียรพยายามทำความดี สร้างความเจริญก้าวหน้าแก่ตนเองและสังคม อย่าได้ลืมตน และเที่ยวไปดูถูกเหยียดหยามคนอื่น ต้องมีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น มีความอ่อนโยนเอื้ออาทรกัน ในฐานะเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อย่ารู้สึกริษยาคนที่ประสบความสุขความสำเร็จในชีวิต มีแต่ยินดีในความสุขความสำเร็จของเขาด้วยใจจริง ฝึกจิตใจให้เข้มแข็งอดทน ทำตนให้เป็นที่พึ่งแก่ตนและคนอื่น อย่าเป็นคนอ่อนแอเหลียวหาแต่ที่พึ่ง อย่าคิดเอาเปรียบ เอาแต่ได้เพื่อตัวเอง โดยอาศัยหน้าที่การงานแสวงผลประโยชน์ฝ่ายเดียว หมั่นปลูกฝังความรู้สึก มีเมตตาปรารถนาดี และมีความกรุณาช่วยเหลือผู้อื่น ใครที่คิดทำผิดทำชั่ว ก็สวดขอให้เขาสำนึกผิด อย่าเป็นคนโกรธฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดเอาแต่ใจตนเอง รู้จักอ่านพระวาจา เข้าใจหลักธรรมคำสอน แก้ไขปัญหาตามแนวทางคำสอนพระคริสต์ เลิกยึดมั่นถือมั่น รู้เท่าทันโลกและชีวิต แสวงหาความสุขสงบภายในแบ่งปันความสุขสงบนั้นให้เบ่งบานในใจผู้ผ่านพบ...การรู้จักตนเองตามความเป็นจริง คือ พรอันประเสริฐอย่างหนึ่ง เมื่อเราสามารถทำเช่นนี้ได้บ้างไม่มากก็น้อย เราจะได้นำพระพรนี้ไปให้กับญาติสนิทมิตรสหายในวันที่เราไปเยี่ยมเยียน 

วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ยินดีกับตัวเองให้เป็น

 

ยินดีกับตัวเองให้เป็น

>>> ได้เวลาไตร่ตรองชีวิตเพื่อก้าวต่อด้วยความยินดี <<<

  คนอื่นรักเรา เราก็ดีใจ คนอื่นชื่นชม เราก็ยินดี

  ทำสิ่งที่ดีที่สุด คนอื่นรักเรา เราก็ขอบคุณ

  ทำแต่ความดีเท่าที่จะทำได้ คนอื่นชื่นชม ก็ขอบคุณ

  ปล่อยวาง แล้วก้าวเดินต่อไป หมั่นขอบคุณสิ่งที่พบเจอ

  หมั่นทบทวนตัวเองในสิ่งที่กระทำ

  เมื่อเจอข้อบกพร่อง ก็ไม่หาข้ออ้าง แต่หาทางปรับปรุง

  เข้าใจ ค้นพบ มีความสุขในชีวิตได้ด้วยตัวเอง

  แสงส่องจากภายนอกไหนเลยจะยั่งยืน

  เท่ากับการเปล่งแสงสว่างจากภายใน

ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น มันจะผ่านไปได้เสมอ อดทนจะช่วยทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ชีวิตไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยคำนินทา แต่ชีวิตขับเคลื่อนด้วยใจของตัวเรา จงรักและภูมิใจยินดีในตัวเองให้เต็มที่ อย่าไปคาดหวังอะไรจากคนอื่น  การมีทัศนคติที่ดีและถูกต้อง จะช่วยดึงดูดพลังดี ๆ และคนดี ๆ เข้ามาในชีวิตเรา การยอมรับความจริงให้เป็น จะทำให้เรามีพระคริสต์อยู่ในชีวิต ระหว่างทางผิดพลาดกันได้ อย่าทนงตน ผิดก็ขอโทษ พลาดก็เริ่มต้นใหม่ ไม่จำเป็นต้องเก่งทุกเรื่อง ไม่ต้องรู้ไปเสียทุกอย่าง แต่ต้องเต็มที่และจริงใจกับทุกเรื่องที่ทำ ต่อให้จะสำเร็จ หรือล้มเหลว จงยินดีที่เราได้ทำความดีและทำดีที่สุดแล้ว นี่แหละสำคัญที่สุด !!

วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2567

เติบโตไปกับกาลเวลา

 

เติบโตไปกับกาลเวลา

>>> การแก่ขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การเติบโตขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกได้ <<<

   
        
เดือนสุดท้ายของปฏิทินได้มาถึงอีกครั้ง เป็นเดือนที่เราต้องทำต้องเตรียมอะไรต่อมิอะไรหลายหลาก บางคนก็เตรียมท่องเที่ยววันหยุดยาว เริ่มศึกษาหาข้อมูล บางคนก็เตรียมซื้อสิ่งของเพื่อเป็นของขวัญ บางคนก็เตรียมซื้อเสื้อผ้าใหม่ ๆ และเมื่อลองมานึกดูดี ๆ เดือนนี้ก็เป็นการย้ำเตือนเราว่าอายุเราก็จะเพิ่มขึ้น เรียกง่าย ๆ ว่า “แก่ขึ้น” และมองย้อนไปว่าเราได้เติบโตขึ้นบ้างไหม การเติบโตที่ว่านี้ไม่ใช่ทางกายภาพ แต่เติบโตด้วยคุณภาพทางจิตวิญญาณ มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งทำให้เราพอที่จะมองเห็นเพื่อไตร่ตรองเวลาในช่วงนี้ ขอนำมาแบ่งปัน...

วันเปิดเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง อาจารย์ได้เข้ามาแนะนำตัวและบอกให้นักศึกษาในชั้นเรียนแนะนำตัวเอง ในห้องนั้นมีหญิงสูงวัยคนหนึ่งมาเรียนอยู่ด้วย รอยยิ้มทำให้เธอดูสดใสอย่างยิ่ง หญิงคนนั้นกล่าวขึ้นว่า “สวัสดี ฉันชื่อโรส  อายุแปดสิบเจ็ดแล้ว” ทุกคนถามเธอว่า “ทำไมคุณถึงมาเรียนที่นี่ตอนที่อายุขนาดนี้ และเธอตอบว่า “ฉันฝันมานานแล้วว่าฉันจะได้ปริญญา และตอนนี้ฉันก็กำลังจะได้ปริญญาที่ฉันฝัน”

ตลอดปีนั้น โรสได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยและเธอนั้นจะเป็นเพื่อนได้กับทุกคน ในทุกที่ที่เธอไป เธอรักที่จะแต่งตัวดี ๆ และดื่มด่ำอยู่กับความสนใจที่นักศึกษาคนอื่น ๆ มีให้กับเธอ เธอได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ เมื่อถึงตอนสิ้นสุดการศึกษา โรสถูกเชิญให้เป็นตัวแทนมากล่าว

พิธีกรแนะนำตัวเธอและเธอก็เดินขึ้นมาที่แท่น ตอนที่เธอกำลังเตรียมตัวที่จะพูดตามที่เธอตั้งใจนั้น เธอทำกระดาษจดบันทึกเรื่องที่เธอจะพูดตกพื้น เธอทั้งอาย ทั้งประหม่า แต่เธอโน้มตัวเข้าหาไมโครโฟน แล้วบอกว่า “ขอโทษด้วยนะที่ฉันซุ่มซ่าม ฉันเลิกกินเบียร์มาตั้งนานแล้ว แต่แอลกอฮอล์พวกนี้มันแรงจริง ๆ (ทุกคนหัวเราะในอารมณ์ขำของเธอ) ฉันจะเอาบทของฉันมาเรียงใหม่คงไม่ทันแล้ว งั้นฉันก็คงบอกแค่เรื่องที่ฉันรู้ก็แล้วกันนะ”

เธอเริ่มต้นว่า พวกเราทุกคนนั้นไม่ได้หยุดเล่นเพราะเราแก่หรอก แต่เราแก่เพราะว่าเราหยุดเล่น ที่จริงแล้วมีเคล็ดลับสู่การที่จะยังหนุ่มสาว มีความสุขและประสบความสำเร็จ อยู่ 4 ข้อ คือ ข้อหนึ่งจะต้องหัวเราะ และมีเรื่องสนุก ๆ ขำขันในทุกวัน ข้อสอง จะต้องมีความฝัน เมื่อไรก็ตามที่คุณสูญเสียความฝันไปคุณจะตาย มีคนมากมายที่ยังเดินไปเดินมาอยู่ ทั้ง ๆ ที่ตายไปแล้ว และไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายไปแล้ว

ข้อสามการ “แก่ขึ้น” กับ “เติบโตขึ้น” นั้นมันต่างกันมาก ถ้าฉันอายุแปดสิบเจ็ด แล้วนอนเฉย ๆ ไม่ทำอะไรเลยตลอดทั้งปี ฉันก็จะอายุแปดสิบแปด ทุก ๆ คนนั้นจะแก่ขึ้นทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องอาศัยความสามารถอะไรเลย ส่วนเรื่องของการเติบโตขึ้นนั้น อยู่ที่การแสวงหาโอกาสในการเปลี่ยนแปลง

ข้อสุดท้าย อย่าทิ้งอะไรไว้ให้เสียใจภายหลัง คนสูงอายุส่วนใหญ่นั้นไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว แต่มักจะเสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ คนที่กลัวความตายนั้น มีแต่คนที่ยังมีสิ่งที่ต้องเสียใจค้างอยู่”

เมื่อสิ้นปีการศึกษานั้น โรสได้รับปริญญาที่เธอได้ฝันไว้เมื่อนานมาแล้ว หนึ่งสัปดาห์หลังจบการศึกษา โรสจากไปอย่างสงบเธอนอนหลับไปและไม่ตื่นขึ้นอีกเลย นักศึกษากว่าสองพันคนไปร่วมพิธีศพของเธอเพื่อแสดงความเคารพ ต่อหญิงชราผู้วิเศษ ผู้ได้สอนให้พวกเขาได้รู้ ด้วยการทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า.......ไม่มีคำว่าสายเกินไป

เราอยู่ได้ด้วยสิ่งที่เราได้รับ แต่เราจะมีชีวิตอยู่ได้ เพราะสิ่งที่เราให้ไป นี่คือการเติบโตที่แท้จริง แล้วเราเติบโตขึ้นมากแค่ไหนกันบ้างล่ะในขวบปีที่กำลังจะผันผ่านไป....