วันเสาร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

เงียบประตูสู่มหาพรต

 

เงียบประตูสู่มหาพรต

>>> ความเงียบ คือประตูบานเเรกสู่ความสงบ สันติ : ติช นัท ฮันห์ <<<

ตีห้ากว่า ๆ  คือเวลาตื่นนอน และลงมานั่งทำนั่นทำนี่ สิ่งที่ได้ยินเป็นเสียงแรก ๆ คือเสียงสวดมนต์ของพี่น้องมุสลิมที่แว่วดังมา บางวันก็มีเสียงจิ้งจก เสียงหนู เสียงนก ไม่นานนักเสียงเปิดประตูบ้าน เสียงรถ เสียงผู้คนพูดคุยเริ่มดังมากขึ้นตามแสงพระอาทิตย์ เราอาศัยอยู่ในโลกที่วุ่นวาย ทุกวินาทีจึงเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกจากการเคลื่อนไหวของสรรพสิ่งที่มีชีวิต รวมทั้งกิจกรรมของคนเราก็ล้วนนำไปสู่การเกิดเสียงในรูปแบบต่าง ๆ  ในยุคที่เรามีอุปกรณ์สื่อสารและเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย ก็ล้วนทำให้เกิดเสียงด้วยกันทั้งนั้น จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะใช้ชีวิตท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ไร้เสียง เป็นเรื่องยากที่คนในสังคมทุกวันนี้ จะมีเวลาอยู่กับความเงียบ

ความเงียบไม่ใช่เพียงการไร้เสียงจากภายนอกเท่านั้น แต่หมายถึงการหยุดเสียงที่คอยรบกวนจิตใจของเรา ในความเงียบเราจะได้ยินเสียงอัศจรรย์แห่งชีวิต การได้อยู่เงียบ ๆ บ้างก็จะทำให้มีสมาธิ มีจินตนาการ ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ แต่หากว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงกำลังผิดหวัง เสียใจ ความเงียบก็จะยิ่งทำให้คุณรู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง หมดกำลังใจ หากผ่านไปได้ ก็จะเข้มแข็งขึ้น กำลังใจที่ดีที่สุดมาจากภายในของตัวเรา ปล่อยให้ตัวเองได้อยู่เงียบ ๆ บ้าง ได้ฟังเสียงความคิด ฟังเสียงของหัวใจของตัวเอง ได้เห็นมุมที่อ่อนแอและรับรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง จะทำให้เราสามารถจัดการกับความรู้สึกเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้น

ความเงียบเป็นการสื่อสารที่ไม่ง่าย ต้องอาศัยความเข้มแข็งภายใน เพื่อช่วยให้เรารักษาความนิ่งสงบ ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้ง ความเงียบเป็นหนึ่งในศิลปะของการสนทนาที่ยิ่งใหญ่ ก่อนที่เราจะฟังคนอื่นได้ ต้องฟังตัวเราให้เป็น  40 วันกับความเงียบ เป็นเวลาแห่งการไตร่ตรอง เป็นเวลาที่ทบทวนและเป็นก้าวย่างสู่ความสันติ

วันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

จุดแสงภายใน

 

จุดแสงภายใน

>>> ไม่มีแสง ก็ไม่มีเงา ไร้พระเจ้า เราจะเหลืออะไร <<<

เดินทางออกต่างจังหวัดเรามักพบเจอสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างไป เกิดความรู้สึกตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจ ได้พบเจอผลผลิตที่งดงามของดอกไม้ใบผัก คนที่อยู่แถวนั้นอาจจะเฉย ๆ แต่เราผู้มาเยือนดูจะเร้าภายในอย่างบอกไม่ถูก ใช่หรือไม่ คนเราแต่ละคนพบเจอสิ่งแวดล้อมเดียวกันหรือพบเจอเรื่องราวคล้าย ๆ กัน แต่กลับมีความรู้สึกที่แตกต่างกันไป บ้างเป็นสุขใจ บ้างเป็นทุกข์ใจ บ้างไม่ทุกข์ ไม่สุข บ้างเป็นกังวล บ้างโศกเศร้า มีบ้างเกิดคำถาม มีบ้างเพียงมองผ่าน ล้วนแล้วแต่ภายในของแต่ละคน ที่ผ่านกาลเวลา ผ่านเรื่องราวมาไม่เหมือนกัน


สภาพภาวะแวดล้อมเป็นเพียงเครื่องสะท้อนสิ่งที่อยู่ในใจของเรา
ตามพื้นฐานที่ได้ถูกปลูกฝัง คนที่อยู่ในสังคมที่ดีเป็นคนที่มีจิตใจงดงาม ย่อมเห็นความงามในทุกสิ่งทุกอย่างไม่เว้นแม้โคลนตม ส่วนคนที่มีจิตใจไม่งามด่างพร้อย ย่อมเห็นความด่างพร้อย มองมุมร้ายมีมุมมองมืดมนแม้แต่อยู่ในสวนดอกไม้ สรรพสิ่งย่อมมีหลากหลายมุม ไม่ได้มีถูกผิด ดีหรือร้าย ขึ้นอยู่กับใจเราเป็นอย่างไร ก็สะท้อนมุมนั้นออกมา เห็นอย่างนั้น ก็รู้สึกอย่างนั้น

ฉะนั้น หากอยากให้ชีวิตดี ครอบครัวดี หรือสังคมที่ดี ๆ นอกจากจะทำทุกอย่างให้ดีแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจจะลืมได้ ก็คือบางครั้งต้องกลับมาดูใจของตัวเราเอง ค้นพบพระเจ้าในตัวตน จุดแสงให้สว่างเพียงพอ ให้พระองค์เป็นแสงส่อง เพื่อให้เห็นความดีของทุกคนที่ผ่านมา ให้เห็นความงามของสรรพสิ่งที่ผ่านพบ หากใจเรายิ่งสว่างไสว ย่อมทำให้คนรอบข้างอุ่นใจที่จะอยู่ร่วมกับเรา อย่าให้ความมืดมนมาบดบังความสุขของกันและกันเลย โลกมีความงามให้ชื่นชมเสมอ

วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

เปลี่ยนทิศจิตใจ

 

เปลี่ยนทิศจิตใจ

>>> “เราไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางลมได้ แต่เราสามารถปรับใบเรือได้” สุภาษิตจีน <<<

ในทุกเช้าวันใหม่ ถ้าเราลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมลมหายใจ ก็ถือว่าเราโชคดีที่สุดแล้ว ดังนั้น ถ้ามีใครมาทำไม่ดีกับเรา หรือมีเรื่องราวไม่ดีเข้ามากระทบ เราก็แค่ปรับมุมมองเสียใหม่ มองว่าเป็นโชคดีที่เราได้เรียนรู้ มองว่าพระยังประทานโอกาสให้เราได้เริ่มต้นใหม่ในทุก ๆ วัน เราก็จะพบกับความสุขสันติ ถึงแม้ว่าบรรยากาศรอบตัว ในสังคมมีแต่เรื่องร้าย ๆ เข้ามาในทุกวันก็ตาม อย่างเช่น เมื่อวันก่อนมีข่าวเรื่องเด็กมัธยมต้น ใช้มีดปลอกผลไม้แทงเพื่อนในโรงเรียนเดียวกันจนเสียชีวิต แน่นอน...จิตใจเรารู้สึกหดหู่ เห็นหลายคนโทษระบบ โทษโรงเรียน โทษเพื่อน ๆ โทษการเลี้ยงดูทางบ้าน ใช่หรือไม่ เราก็แค่ได้รับรู้เพียงเศษเสี้ยวของความจริงเท่านั้น จึงมิอาจจะตัดสินได้นอกจากรำพึงในใจว่า ขออย่าให้เหตุการณ์นี้เกิดกับเราหรือคนที่เรารักเลย พอวันรุ่งขึ้นก็มีข่าวเด็กสี่ขวบตกคอนโดมิเนี่ยมที่เพิ่งย้ายกันเข้าไปอยู่ ดูไปดูมามีแต่โชคร้ายไปเสียทั้งหมด และคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่อยู่ ๆ ได้อ่านเจอเรื่องดีงดงาม ที่คล้าย ๆ กับข่าวนี้ แต่ต่างกันในรายละเอียด เป็นเรื่ิองจริงที่เกิดขึ้นที่ประเทศจีน อู๋ จิ๋ว์ผิง คุณแม่ใจงามที่สุด..


เช้าวันนั้น เธอหอมแก้มลูกสาววัย 7 เดือนอย่างรักใคร่ ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปหาซื้ออะไรเข้าครัว   ฟ้าใสกระจ่างที่หางโจว อากาศดีไม่หนาวไม่ร้อน เธอจึงเดินมองท้องฟ้ามาอย่างสบายอารมณ์ พลันสายตาพบบางอย่างเคลื่อนไหวที่ปลายระเบียงชั้นที่สิบของคอนโด เมื่อเพ่งสายตาอย่างตั้งใจ เธอจึงตระหนักว่านั่นคือ เด็กที่เพิ่งหัดเดินเตาะแตะ ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นแม่ เธอมีรางสังหรณ์ ห่วงใย และจ้องมองไม่ละสายตา

ทันใดนั้น เด็กน้อยก็ลอดเหล็กดัดระเบียงและร่วงลงมาต่อหน้าต่อตา เธอสลัดรองเท้าส้นสูงทิ้ง วิ่งตรงไปที่จุดตกอย่างไม่คิดชีวิต พร้อมเสียงหวีดร้องลั่น มีสำนึกเดียวในสมองคือ “รับ” ให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

อู๋ จี๋ว์ ผิง หมดสติทันทีจากแรงกระแทก กระดูกแขนซ้ายหัก  หนิว หนิว หนูน้อยวัยสองขวบ มีอาการเลือดตกในตอนหลุดจากอ้อมกอดกระแทบพื้น  แต่ทั้งคู่รอดตายด้วยความรักและปาฏิหาริย์ ภายหลังรักษาตัวในโรงพยาบาล ก็หายเป็นปกติ ปัจจุบัน หนิว หนิว เติบโตเป็นสาวน้อยอายุ 14 ปี เธอรอดตายและได้แม่ทูนหัว (God Mother) เพิ่มมาอีกหนึ่งคน


เอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ผ่านมาจัดที่เมืองหางโจว และชาวเมืองมีมติเป็นเอกฉันท์เลือก อู๋ จี๋ว์ ผิง เป็นผู้เชิญคบเพลิงในวันเปิดงาน ในฐานะ “คุณแม่ใจงามที่สุด” เป็นผู้วิ่งคบเพลิงเอเชียนเกมส์คนที่ 104  พิธีวิ่งคบเพลิงกีฬาเอเชียนเกมส์หางโจว 2023  เป้าหมายสร้างสถิติใหม่พิธีวิ่งคบเพลิงเอเชียนเกมส์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ที่มีผู้วิ่งมากที่สุด ( ทั้งหมด 2,022 คน ) และครอบคลุมทุกสาขาอาชีพและตำแหน่งงานมากที่สุด บรรดาผู้วิ่งถูกคัดสรรขึ้นมาจากหลากหลายสาขาอาชีพ ซึ่งแต่ละคนมีเรื่องเล่าที่น่าสนใจ

เรื่องร้าย ๆ อาจจะถาโถมใส่เราได้ตลอดเวลา เพราะใจคนเรานั้นเปราะบาง อยากได้อยากมีด้วยกันทุกคน สำคัญที่สุด ในขณะพบเจอพายุร้าย ๆ คลื่นที่รุนแรงนั้น เราจะปรับจิตใจอย่างไร คนรอบข้างจะช่วยกันประคับประคองให้ก้าวพ้นจากห้วงเหวนั้นมาได้เช่นไร สำหรับผู้ที่มีความเชื่อในพระเจ้า เราย่อมเชื่อว่าในเหตุการณ์นั้นมีเพียง “ความรัก และการอภัย” ให้กัน จะเป็นเสมือนใบเรือที่เราร่วมกันกางและร่วมกันปรับทิศเปลี่ยนให้ถูกให้ควร เรื่องร้ายในชีวิตเราจะได้ผ่านพ้นจากกระแสอันโหดร้ายนั้นไปได้ด้วยดี และที่สุดจะเพิ่มความเชื่อความศรัทธาให้มากขึ้น ..