วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2567

สร้างสุขท่ามกลางความสุข

 

สร้างสุขท่ามกลางความสุข

>>> บ่อยครั้งเราหลงลืม “ความสุข” ท่ามกลางความสุข <<<


วันนี้ชีวิตคนเรา อยู่กับการแสวงหากันจนมากเกินไป

แสวงหาความสุขทั้ง ๆ ที่สุขกองอยู่ตรงหน้า

สุขที่ไม่ต้องดิ้นรนให้เหนื่อยกายท้อใจ แต่เราก็ไขว่คว้าหาอยู่ร่ำไป หาจากที่ไกล ๆ

แท้จริง ความสุขนั้นง่ายมาก เพียงแค่มี “บ้าน” ที่อบอุ่น  มี “ครอบครัว” ที่น่ารั  มี “รอยยิ้ม” ที่สดใส ให้กันในทุกวัน ..

มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง หายใจได้อิสระ และได้ทำใน “สิ่งที่ชอบ”

ไม่มีอะไรจะ “โชคดี” ไปกว่านี้อีกแล้ว

ใช่หรือไม่ รากฐานทุกอย่างของคนเรา ล้วนมาจากครอบครัวที่เป็นปฐมบทด้วยกันทั้งสิ้น

ความสำเร็จยิ่งใหญ่ใด ๆ ย่อมไร้ความหมาย ถ้าสุดท้ายครอบครัวแตกแยกล้มเหลว ไร้ศีลธรรมนำพา

ระหว่างทางสร้างความสำเร็จ จงให้ครอบครัวได้ก้าวเดินไปพร้อมกันด้วยความรักและความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจกัน

จงอย่าให้ตัวเราเดินหน้าอย่างโดดเดี่ยว  และอย่าปล่อยให้ครอบครัวรอคอยอย่างอ้างว้างอยู่ข้างหลัง ทักทายถามไถ่ห่วงใย เลือดย่อมข้นกว่าน้ำฉันใด พ่อแม่พี่น้องย่อมสำคัญฉันนั้น

ในทุกความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่สวยงาม ต้องมีครอบครัวที่ได้ยืนยิ้มเคียงข้างเสมอ จึงเรียกได้ว่าสำเร็จสมบูรณ์แบบที่แท้จริง

ถ้าหากวันใดวันหนึ่งเกิดล้มเหลว ยังมีครอบครัวอ้าแขนประคองรองรับอยู่ เป็นความล้มเหลวที่เปี่ยมสุขที่สุด

สร้างครอบครัวให้เจริญมั่นคงในศีลธรรม ความรัก ความกตัญญูรู้คุณ ตอบแทนเกื้อกูล มีความสามัคคี จะสามารถสร้างสุขได้อย่างยั่งยืน


ในยุคสมัยแห่งการแข่งขัน บางครอบครัวมุ่งหวังแต่จะให้ลูกเก่งในด้านนั้นด้านนี้ จนลืมเรื่องพื้นฐานด้านจิตใจไป ใช่หรือไม่เด็กวันนี้เก่ง แต่อยู่ในสังคมลำบาก ไม่ค่อยยอมรับความจริง แพ้ไม่เป็น ไม่ผิดอะไรที่จะสนับสนุนลูกให้เก่ง แต่อย่าลืมที่จะปลูกฝังจิตใจให้ลูกด้วย เรื่องจิตสำนึกเล็ก ๆน้อย ๆ ต้องฝึกตั้งแต่เด็ก อย่าปล่อยให้ลูกเป็นคนเก่ง แต่อยู่ในสังคมไม่เป็น อันตรายมาก

พ่อแม่จำเป็นต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ตัวอย่างที่ดีมีค่ามากกว่าคำสอน หากบางทีที่พ่อแม่ทำอะไรผิดพลาดไป ต้องขอโทษลูกบ้าง ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เมื่อรู้ว่าตัวเองผิด หรือทำอะไรผิดไปกับลูก เดินเข้าไปขอโทษลูก ยอมรับความจริงให้ลูกเห็น ลูกจะเข้าใจในสิ่งที่เราทำ วันหนึ่งเขาทำผิดพลาดเขาก็จะกล้ายอมรับผิดเช่นกัน เราเป็นผู้ใหญ่ในบ้าน ในครอบครัวบางทีทำผิดก็ทำเป็นเนียน ไม่รู้ไม่ชี้ คิดว่าผู้ใหญ่ถูกเสมอแบบนี้ครอบครัวเราจะหมดความศักดิ์สิทธิ์ มีแต่ความไม่ไว้ใจกัน มาสร้างครอบครัวให้มีความศักดิ์สิทธิ์ ด้วยการสร้างสุขท่ามกลางความสุขในครอบครัวกันเถิดปีใหม่นี้

วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2567

อวยพรเมื่อมีพร

 อวยพรเมื่อมีพร

อวยพรเมื่อมีพร

>>> อยากได้สิ่งดี ก็ทำให้ดี ให้ถูกต้อง ถูกที่ ถูกทาง ถูกคน <<<

เดือนสุดท้ายมาถึง อากาศเย็นมาเยือน ในเดือนนี้เป็นเดือนแห่งความหวังของหลาย ๆ คน เป็นเดือนมงคลที่จะได้รับพร ได้รับของขวัญ และที่สุดก็เป็นเวลาที่หลากหลายคนออกมาทำบุญให้ทานพร้อมทั้งตะเวนขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานสิ่งที่ตนเองต้องการ  แต่บางทีก็ขออย่างกับสั่งได้ พอไม่ได้ดั่งใจก็พาล แท้จริงแล้วพรมันอยู่ที่ตัวเราต่างหาก อยากจะได้พรประเสริฐ ก็ต้องทำตัวให้ประเสริฐ เช่นนี้แล้วเราให้พรใครพรนั้นก็ย่อมเป็นพรประเสริฐเช่นกัน

เราต้องรู้จักสร้างพรโดยมีความเพียรพยายามทำความดี สร้างความเจริญก้าวหน้าแก่ตนเองและสังคม อย่าได้ลืมตน และเที่ยวไปดูถูกเหยียดหยามคนอื่น ต้องมีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น มีความอ่อนโยนเอื้ออาทรกัน ในฐานะเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อย่ารู้สึกริษยาคนที่ประสบความสุขความสำเร็จในชีวิต มีแต่ยินดีในความสุขความสำเร็จของเขาด้วยใจจริง ฝึกจิตใจให้เข้มแข็งอดทน ทำตนให้เป็นที่พึ่งแก่ตนและคนอื่น อย่าเป็นคนอ่อนแอเหลียวหาแต่ที่พึ่ง อย่าคิดเอาเปรียบ เอาแต่ได้เพื่อตัวเอง โดยอาศัยหน้าที่การงานแสวงผลประโยชน์ฝ่ายเดียว หมั่นปลูกฝังความรู้สึก มีเมตตาปรารถนาดี และมีความกรุณาช่วยเหลือผู้อื่น ใครที่คิดทำผิดทำชั่ว ก็สวดขอให้เขาสำนึกผิด อย่าเป็นคนโกรธฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดเอาแต่ใจตนเอง รู้จักอ่านพระวาจา เข้าใจหลักธรรมคำสอน แก้ไขปัญหาตามแนวทางคำสอนพระคริสต์ เลิกยึดมั่นถือมั่น รู้เท่าทันโลกและชีวิต แสวงหาความสุขสงบภายในแบ่งปันความสุขสงบนั้นให้เบ่งบานในใจผู้ผ่านพบ...การรู้จักตนเองตามความเป็นจริง คือ พรอันประเสริฐอย่างหนึ่ง เมื่อเราสามารถทำเช่นนี้ได้บ้างไม่มากก็น้อย เราจะได้นำพระพรนี้ไปให้กับญาติสนิทมิตรสหายในวันที่เราไปเยี่ยมเยียน 

วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ยินดีกับตัวเองให้เป็น

 

ยินดีกับตัวเองให้เป็น

>>> ได้เวลาไตร่ตรองชีวิตเพื่อก้าวต่อด้วยความยินดี <<<

  คนอื่นรักเรา เราก็ดีใจ คนอื่นชื่นชม เราก็ยินดี

  ทำสิ่งที่ดีที่สุด คนอื่นรักเรา เราก็ขอบคุณ

  ทำแต่ความดีเท่าที่จะทำได้ คนอื่นชื่นชม ก็ขอบคุณ

  ปล่อยวาง แล้วก้าวเดินต่อไป หมั่นขอบคุณสิ่งที่พบเจอ

  หมั่นทบทวนตัวเองในสิ่งที่กระทำ

  เมื่อเจอข้อบกพร่อง ก็ไม่หาข้ออ้าง แต่หาทางปรับปรุง

  เข้าใจ ค้นพบ มีความสุขในชีวิตได้ด้วยตัวเอง

  แสงส่องจากภายนอกไหนเลยจะยั่งยืน

  เท่ากับการเปล่งแสงสว่างจากภายใน

ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น มันจะผ่านไปได้เสมอ อดทนจะช่วยทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ชีวิตไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยคำนินทา แต่ชีวิตขับเคลื่อนด้วยใจของตัวเรา จงรักและภูมิใจยินดีในตัวเองให้เต็มที่ อย่าไปคาดหวังอะไรจากคนอื่น  การมีทัศนคติที่ดีและถูกต้อง จะช่วยดึงดูดพลังดี ๆ และคนดี ๆ เข้ามาในชีวิตเรา การยอมรับความจริงให้เป็น จะทำให้เรามีพระคริสต์อยู่ในชีวิต ระหว่างทางผิดพลาดกันได้ อย่าทนงตน ผิดก็ขอโทษ พลาดก็เริ่มต้นใหม่ ไม่จำเป็นต้องเก่งทุกเรื่อง ไม่ต้องรู้ไปเสียทุกอย่าง แต่ต้องเต็มที่และจริงใจกับทุกเรื่องที่ทำ ต่อให้จะสำเร็จ หรือล้มเหลว จงยินดีที่เราได้ทำความดีและทำดีที่สุดแล้ว นี่แหละสำคัญที่สุด !!

วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2567

เติบโตไปกับกาลเวลา

 

เติบโตไปกับกาลเวลา

>>> การแก่ขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การเติบโตขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกได้ <<<

   
        
เดือนสุดท้ายของปฏิทินได้มาถึงอีกครั้ง เป็นเดือนที่เราต้องทำต้องเตรียมอะไรต่อมิอะไรหลายหลาก บางคนก็เตรียมท่องเที่ยววันหยุดยาว เริ่มศึกษาหาข้อมูล บางคนก็เตรียมซื้อสิ่งของเพื่อเป็นของขวัญ บางคนก็เตรียมซื้อเสื้อผ้าใหม่ ๆ และเมื่อลองมานึกดูดี ๆ เดือนนี้ก็เป็นการย้ำเตือนเราว่าอายุเราก็จะเพิ่มขึ้น เรียกง่าย ๆ ว่า “แก่ขึ้น” และมองย้อนไปว่าเราได้เติบโตขึ้นบ้างไหม การเติบโตที่ว่านี้ไม่ใช่ทางกายภาพ แต่เติบโตด้วยคุณภาพทางจิตวิญญาณ มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งทำให้เราพอที่จะมองเห็นเพื่อไตร่ตรองเวลาในช่วงนี้ ขอนำมาแบ่งปัน...

วันเปิดเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง อาจารย์ได้เข้ามาแนะนำตัวและบอกให้นักศึกษาในชั้นเรียนแนะนำตัวเอง ในห้องนั้นมีหญิงสูงวัยคนหนึ่งมาเรียนอยู่ด้วย รอยยิ้มทำให้เธอดูสดใสอย่างยิ่ง หญิงคนนั้นกล่าวขึ้นว่า “สวัสดี ฉันชื่อโรส  อายุแปดสิบเจ็ดแล้ว” ทุกคนถามเธอว่า “ทำไมคุณถึงมาเรียนที่นี่ตอนที่อายุขนาดนี้ และเธอตอบว่า “ฉันฝันมานานแล้วว่าฉันจะได้ปริญญา และตอนนี้ฉันก็กำลังจะได้ปริญญาที่ฉันฝัน”

ตลอดปีนั้น โรสได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยและเธอนั้นจะเป็นเพื่อนได้กับทุกคน ในทุกที่ที่เธอไป เธอรักที่จะแต่งตัวดี ๆ และดื่มด่ำอยู่กับความสนใจที่นักศึกษาคนอื่น ๆ มีให้กับเธอ เธอได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ เมื่อถึงตอนสิ้นสุดการศึกษา โรสถูกเชิญให้เป็นตัวแทนมากล่าว

พิธีกรแนะนำตัวเธอและเธอก็เดินขึ้นมาที่แท่น ตอนที่เธอกำลังเตรียมตัวที่จะพูดตามที่เธอตั้งใจนั้น เธอทำกระดาษจดบันทึกเรื่องที่เธอจะพูดตกพื้น เธอทั้งอาย ทั้งประหม่า แต่เธอโน้มตัวเข้าหาไมโครโฟน แล้วบอกว่า “ขอโทษด้วยนะที่ฉันซุ่มซ่าม ฉันเลิกกินเบียร์มาตั้งนานแล้ว แต่แอลกอฮอล์พวกนี้มันแรงจริง ๆ (ทุกคนหัวเราะในอารมณ์ขำของเธอ) ฉันจะเอาบทของฉันมาเรียงใหม่คงไม่ทันแล้ว งั้นฉันก็คงบอกแค่เรื่องที่ฉันรู้ก็แล้วกันนะ”

เธอเริ่มต้นว่า พวกเราทุกคนนั้นไม่ได้หยุดเล่นเพราะเราแก่หรอก แต่เราแก่เพราะว่าเราหยุดเล่น ที่จริงแล้วมีเคล็ดลับสู่การที่จะยังหนุ่มสาว มีความสุขและประสบความสำเร็จ อยู่ 4 ข้อ คือ ข้อหนึ่งจะต้องหัวเราะ และมีเรื่องสนุก ๆ ขำขันในทุกวัน ข้อสอง จะต้องมีความฝัน เมื่อไรก็ตามที่คุณสูญเสียความฝันไปคุณจะตาย มีคนมากมายที่ยังเดินไปเดินมาอยู่ ทั้ง ๆ ที่ตายไปแล้ว และไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายไปแล้ว

ข้อสามการ “แก่ขึ้น” กับ “เติบโตขึ้น” นั้นมันต่างกันมาก ถ้าฉันอายุแปดสิบเจ็ด แล้วนอนเฉย ๆ ไม่ทำอะไรเลยตลอดทั้งปี ฉันก็จะอายุแปดสิบแปด ทุก ๆ คนนั้นจะแก่ขึ้นทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องอาศัยความสามารถอะไรเลย ส่วนเรื่องของการเติบโตขึ้นนั้น อยู่ที่การแสวงหาโอกาสในการเปลี่ยนแปลง

ข้อสุดท้าย อย่าทิ้งอะไรไว้ให้เสียใจภายหลัง คนสูงอายุส่วนใหญ่นั้นไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว แต่มักจะเสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ คนที่กลัวความตายนั้น มีแต่คนที่ยังมีสิ่งที่ต้องเสียใจค้างอยู่”

เมื่อสิ้นปีการศึกษานั้น โรสได้รับปริญญาที่เธอได้ฝันไว้เมื่อนานมาแล้ว หนึ่งสัปดาห์หลังจบการศึกษา โรสจากไปอย่างสงบเธอนอนหลับไปและไม่ตื่นขึ้นอีกเลย นักศึกษากว่าสองพันคนไปร่วมพิธีศพของเธอเพื่อแสดงความเคารพ ต่อหญิงชราผู้วิเศษ ผู้ได้สอนให้พวกเขาได้รู้ ด้วยการทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า.......ไม่มีคำว่าสายเกินไป

เราอยู่ได้ด้วยสิ่งที่เราได้รับ แต่เราจะมีชีวิตอยู่ได้ เพราะสิ่งที่เราให้ไป นี่คือการเติบโตที่แท้จริง แล้วเราเติบโตขึ้นมากแค่ไหนกันบ้างล่ะในขวบปีที่กำลังจะผันผ่านไป....

วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ก็ต้องมีวันนั้น

 

ก็ต้องมีวันนั้น

>>> เราต่างพบกันชั่วคราวเพื่อจากกันตลอดกาลเท่านั้นเอง <<<

วันเวลาเดินหน้าไปไม่เคยหยุดรอและเหลียวหลัง งานสีสันหรรษาหดหาย มีเพียงงานขาวดำที่เพิ่มขึ้นทุกวัน อายุมากขึ้น เวลาชีวิตน้อยลง หลายสิ่งเข้ามา หลายสิ่งหายไป บางอย่างคงอยู่จริง บางอย่างเหลือแค่ความทรงจำ บางอย่างกำลังจะเข้ามา บางอย่างกำลังจะหายไป แต่ไม่ว่าอย่างไร ท้ายที่สุดแล้ว เวลายังคงทำหน้าที่ของมัน เราทำได้แค่เดินผ่านมันไป ใช้ชีวิตให้ดีและมีความสุขที่สุดในทุก ๆ วันก็พอ ...

หากว่าวันสุดท้ายจะมาเยี่ยมเยือนเรา วันพรุ่งนี้ก็จะไม่มีอีกต่อไปแล้ว วันนี้เราลองมองไปที่คนรอบตัว คนที่เรารัก คนที่รักเรา ใช่หรือไม่ เขาจะอยู่กับเราเพียงชั่วคราวเท่านั้น

แต่ในวันที่ยังมีกันและกัน เรามักหลงลืมความจริงข้อนี้ไปหมดสิ้น คิดเข้าข้างตัวเองเสมอว่าวันพรุ่งนี้ยังเป็นของเราเสมอ แต่เมื่อวันนั้นมาถึง เมื่อวันพรุ่งนี้ไม่มีอีกแล้ว

เราจะไม่มีวันได้ยินเสียง ไม่มีวันได้สัมผัส ไม่มีวันได้แก้ตัว กล่าวคำขอโทษใด ถึงตอนนั้นเราจะรู้ได้เอง คำว่า “เวลาหมดแล้ว” มีอยู่จริง เงินทอง อำนาจ ที่มีก็ไม่อาจจะซื้อหรือสั่งให้มีเวลาเพิ่มขึ้นได้เลย


จงรักกันให้มาก ดูแลกันให้ดี
ให้อภัย รักษาน้ำใจ ไม่ถือโทษโกรธเคือง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ทุกสิ่งที่เราได้กระทำต่อกันไว้จะกลายเป็นความทรงจำในใจ เป็นบาดแผล เป็นก้อนหิน เป็นดอกไม้

เวลาไม่ได้มีมากเท่าที่เราคิด เชื่อเถอะว่า ชีวิตไม่ได้ยั่งยืนยาวนานขนาดนั้น และความจริงในความจริง เราต่างพบกันชั่วคราว เพื่อจากกันบนโลกนี้ แต่เราจะอยู่ด้วยกันในบ้านพระบิดาตลอดนิรันดร์” เราต่างมีชีวิตวันนี้ เพื่อจะมีวันนั้น...

วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

วันที่มิตรเปลี่ยนเป็นมิจ

 

วันที่มิตรเปลี่ยนเป็นมิจ

>>>โลกพัฒนาไปไกล ที่ใจผู้คนยังโลภ ความจริงใจ จึงกลายเป็นสิ่งไร้ค่า <<<

        
   
 มิตร...มิตรภาพที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่วาจาไพเราะเสนาะหู
แต่เป็นมือที่ฉุดรั้งเราในช่วงที่สำคัญ

มิจ....โลกสวยเกินไป “อยู่ยาก” ในสังคมที่เงินสำคัญกว่ามิตรภาพ

โลกของมิตร...คนที่อยู่ใกล้เราในทุก ๆ วัน ทุกข์ร่วมกัน ไม่บ่น ไม่เรียกร้องสิ่งใด มิตรแท้ยอมพ่ายไปด้วยกัน

โลกของมิจ....คนจริงใจกลายเป็น “คนโง่” คนฉวยโอกาส กลายเป็น “คนฉลาด”

มิตรที่ต้องรักษา....คนที่คอยมองเราอยู่ห่าง ๆ เขาเหล่านั้น อาจกำลังห่วงใยใส่ใจเราอยู่ พร้อมช่วยเหลือไม่ว่าเวลาใดก็ตาม

มิจที่ต้องออกห่าง....ชอบทำดีเพื่อโอ้อวด  เวลาสุขจะรับมา เวลาทุกข์มักติดนั่นติดนี่ ไม่มีเวลาว่าง

มิตรภาพที่แท้จริง ในยามเรามีความสุข เขาอาจไม่ได้มาพะเน้าพะนอ ในยามที่เราอับจนหมดหนทาง เขากลับทำเพื่อเรา ในวันนี้โลกเต็มไปด้วยการหลอกหลวง ความยุติธรรมกลายเป็นเครื่องมือหาเงิน ไม่ต้องโลกสวย ไม่ต้องกลัวไม่มีใครคบ มิตรแท้ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่เราจะมีแบบนั้นสักคนในวันนี้ ถ้ามีจงรักษาไว้ สำคัญ คือ มองคนให้ขาด เเละ ตัดคนให้เป็น ที่สุด เราต้องจริงใจและ เป็นมิตรสหายที่ดีงามกับตัวเราให้ได้ก่อน ....

วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

เมื่อกลัวจึงกล้า

 

เมื่อกลัวจึงกล้า

>>> ความกลัวคือแรงบันดาลใจให้กล้าและก้าวสู่การพัฒนา <<<

คนเราเกิดมาย่อมมีความกลัวติดตัวมาไม่มากก็น้อย อาจจะเพราะสภาพแวดล้อม อาจเพราะการเพาะบ่มสอนสั่ง

ตอนเด็ก กลัวนั่นกลัวนี่ เพราะถูกหลอก ถูกขู่ ถูกบอกให้กลัว

โตขึ้นกลัวเรียนไม่ได้ กลัวไม่มีเพื่อน กลัวไม่มีความรัก

มีงานทำก็กลัวเงินเดือนจะน้อย กลัวไม่ได้ตำแหน่ง กลัวการไม่มี..

                        สู่วัยที่วันเหลือน้อย กลัวตายบ้าง กลัวไม่มีคนเลี้ยงดู กลัวความโดดเดี่ยว กลัวเจ็บปวด กลัวสารพัด

สัจจะสอนว่า อย่ากลัวความตาย เพราะมันคือเงาของสิ่งมีชีวิต แต่จงกลัวชีวิตก่อนและหลังความตายให้มาก

ประพฤติตนให้ดีก่อนตาย เพื่อจะได้รับผลในชีวิตหลังความตาย ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด คือช่วงเวลาในปัจจุบัน ใช่หรือไม่ เราควรที่จะเข้าใจชีวิตของเราบนโลกแห่งความจริง  และตื่นมาทำวันนี้ปัให้ดีที่สุด เพื่อเตรียมตัวเราหลังความตายกลับสู่บ้านพระบิดา

หกล้มไม่น่ากลัว ที่น่ากลัว คือ ไม่ยอมลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

เกิดมาในครอบครัวฐานะยากจนไม่น่ากลัว ที่น่ากลัว คือ หนักไม่เอาเบาไม่สู้

คนอื่นดูถูกดูแคลนไม่น่ากลัว  ที่น่ากลัวก็คือ ตัวเองดูถูกตัวเอง

อย่าใช้ชีวิตอยู่กับคำนินทาของคนอื่น อย่าหวังความสุขจากการถูกยอมรับ

รู้ไว้เถิด ทุกคนต่างก็มีดีอยู่ในตัวเอง....

คนเราทุกคนต่างเคยตกที่นั่งลำบากเหมือนกันทุกคน

เมื่อใดที่เผชิญกับความยากลำบาก อย่าได้เอาแต่โทษกล่าวหรือปรักปรำ

ในเมื่อเราทุกคนย้อนกลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้ ก็ตั้งใจทำตอนนี้ เพื่อปูทางสิ่งที่ดีในอนาคต

คิดเป็น ทำเป็น บวกกับความมานะพยายาม  คนเช่นนี้ คือ คนที่ก้าวผ่านความกลัว

อย่าได้กลัวว่าจะไร้ตัวตนไม่มีคนมองเห็น

อย่าได้กลัวว่าจะโดดเดี่ยว ไม่มีใครเข้าใจ

เราโดดเดี่ยวมาตั้งแต่ต้น  คนที่ผ่านมาจะใกล้ชิดสนิทแค่ไหน  สุดท้าย ยังคงต้องผ่านไป

เข้าใจความไร้ตัวตน ละการดิ้นรนไขว่คว้า

จะอยู่ลำพัง กลางฝูงชน จะโดดเดี่ยวหรือมีคนเคียงข้าง

จะได้รับการยอมรับ หรือมองผ่าน เราก็ยังเป็นสุขได้ ด้วยตัวของเราเอง ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร

ดังคำกล่าวที่มีมา “ทองแท้” ย่อมไม่กลัวไฟ ใครจะว่าอะไรปล่อยเขาว่าไป คนฉลาดพอเขาจะฟังความรอบด้าน และจะกล้าทบทวนตัวเองว่า  เราเป็นไปตามสิ่งที่ผู้คนพูดถึงหรือไม่ แต่ก็ใช่ว่าต้องนำทุกคำพูดมานั่งคิด เพราะมันไม่สามารถทำให้เราก้าวพ้นหนทางเดิมได้

ความกลัวคือพระพรประการหนึ่ง เพื่อทำให้เรามีความถ่อมตน

ความกลัวสอนให้เราวางใจในพระเจ้าเสมอ

ความกลัวเป็นสิ่งเตือนตนเพื่อสร้างความกล้าสู่ความเก่ง โดยมีความรักเป็นศูนย์กลาง พร้อมนำพาสู่ความสุขสันติในชีวิต...

วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ให้ บุญ คุณ ค่า

 

ให้ บุญ คุณ ค่า

>>> บุญสร้างธรรม บุญมิได้วัดผลที่มูลค่า <<<

บุญไม่ได้อยู่ที่วัด แต่อยู่ที่จิตอันเป็นกุศล ไม่มีตัวตน แต่มีดอกผลคุ้มครองตัวผู้ทำ

ทางสายบุญ...ไม่ได้มีอยู่แค่สายเดียว แต่มีหลายร้อยสาย สุดแต่ใครจะมองเห็นได้


การทำบุญ...
ไม่ต้องทุ่มเทยิ่งใหญ่ เพราะความยากง่าย ไม่ได้อยู่ที่การลงทุน

ผู้แสวงบุญ...ไม่ต้องดิ้นรนแข่งขัน ไปทุกที่เพื่อทำทานให้บุญเกินตัว การสั่งสมบุญนั้นต้องรู้จักประมาณตน

 บุญใด??...ที่ทำแล้วเดือดร้อนตน บุญนั้นย่อมไม่เกิดกุศล ทำบุญด้วยใจ​ ทำแล้วเราไม่เดือดร้อน ทำมากหรือน้อย​ ย่อมได้ผลบุญเช่นกัน ทำแล้วไม่ต้องคิดต่อว่าสิ่งที่ทำบุญนั้นถูกนำไปใช้อย่างไร

            บุญไม่ต้องอวด...หากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องถ่ายภาพลงสื่อ เพราะคุณค่าจะลดน้อยลง บ่อยครั้งทำให้จิตใจเราเกิดความอยากเด่นอยากดัง โดยเอาบุญบังหน้า และคำยกย่องสรรเสริญคือรางวัลในโลกนี้ แทนรางวัลในสวรรค์เสียแล้ว

บุญอยู่ที่ใจ... แค่คิดจะทำบุญก็สุขใจ ทำความดีแล้ว ไม่ต้องหวังผลตอบแทน ทำความดีแล้ว

ไม่ต้องให้ใครเห็น ทำความดีก็จารึกไว้ในใจแล้ว บุญคู่อยู่กับใจ ตายไปแล้วบุญก็จะตามติดไปสู่ราชัยสวรรค์

วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

สุขให้เป็นกับชีวิต

 

สุขให้เป็นกับชีวิต

>>> จะสักกี่คนที่รู้วันเวลาของตัวเอง มีเวลาก็สร้างสุขให้เป็น <<<

โลกวันนี้บอกเราว่า เงินทอง ทำให้คนวิ่งเข้าหา  แต่…“มัน” ซื้อความจริงใจไม่ได้เลย                                               

สังคมเพาะบ่มเราว่า   อำนาจจะทำให้คนเกรงกลัว แต่...“มัน”ไม่ทำให้คนเคารพนับถือจากใจจริงได้                        

       ใช่หรือไม่…การยอมรับว่าตนเองเป็นคนธรรมดา   ย่อมทำให้อยู่ง่ายกว่า  สบายใจกว่า...

การยอมรับว่าเป็นคนธรรมดาและทำชีวิตที่ธรรมดา ให้เป็นชีวิตที่ดี นั่นคือความ  ไม่ธรรมดาที่ยิ่งใหญ่ ไม่ต้องแก่งแย่งกับใครไม่ต้องรู้สึกว่าเหนือกว่า หรือไม่ยอมด้อยกว่าใคร   เพราะถึงอย่างไร เราก็เป็นแค่ คนธรรมดา

ทำในสิ่งที่รัก มีความสุขกับสิ่งที่ทำ   ให้เวลา และดูแลคนที่เรารัก ในวิถีชีวิตที่เรียบง่าย แค่นี้...ก็ไม่ธรรมดาแล้ว

เราต่างก็เคย สุข ทุกข์   สมหวังและผิดหวัง ต่างเคยมีความรัก “ทำให้หลง”  และถูก ความรัก “ทำร้าย”

“ชีวิต” มันไม่เคยเรียบง่าย  อดทน ” ให้กับมัน และมี “ ความสุข ” กับวันเวลาที่เหลืออยู่ มากน้อยไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล

เพราะวันเวลาของเรา กับวาระของพระเจ้านั้นไม่เหมือนกัน…