วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

วันที่มิตรเปลี่ยนเป็นมิจ

 

วันที่มิตรเปลี่ยนเป็นมิจ

>>>โลกพัฒนาไปไกล ที่ใจผู้คนยังโลภ ความจริงใจ จึงกลายเป็นสิ่งไร้ค่า <<<

        
   
 มิตร...มิตรภาพที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่วาจาไพเราะเสนาะหู
แต่เป็นมือที่ฉุดรั้งเราในช่วงที่สำคัญ

มิจ....โลกสวยเกินไป “อยู่ยาก” ในสังคมที่เงินสำคัญกว่ามิตรภาพ

โลกของมิตร...คนที่อยู่ใกล้เราในทุก ๆ วัน ทุกข์ร่วมกัน ไม่บ่น ไม่เรียกร้องสิ่งใด มิตรแท้ยอมพ่ายไปด้วยกัน

โลกของมิจ....คนจริงใจกลายเป็น “คนโง่” คนฉวยโอกาส กลายเป็น “คนฉลาด”

มิตรที่ต้องรักษา....คนที่คอยมองเราอยู่ห่าง ๆ เขาเหล่านั้น อาจกำลังห่วงใยใส่ใจเราอยู่ พร้อมช่วยเหลือไม่ว่าเวลาใดก็ตาม

มิจที่ต้องออกห่าง....ชอบทำดีเพื่อโอ้อวด  เวลาสุขจะรับมา เวลาทุกข์มักติดนั่นติดนี่ ไม่มีเวลาว่าง

มิตรภาพที่แท้จริง ในยามเรามีความสุข เขาอาจไม่ได้มาพะเน้าพะนอ ในยามที่เราอับจนหมดหนทาง เขากลับทำเพื่อเรา ในวันนี้โลกเต็มไปด้วยการหลอกหลวง ความยุติธรรมกลายเป็นเครื่องมือหาเงิน ไม่ต้องโลกสวย ไม่ต้องกลัวไม่มีใครคบ มิตรแท้ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่เราจะมีแบบนั้นสักคนในวันนี้ ถ้ามีจงรักษาไว้ สำคัญ คือ มองคนให้ขาด เเละ ตัดคนให้เป็น ที่สุด เราต้องจริงใจและ เป็นมิตรสหายที่ดีงามกับตัวเราให้ได้ก่อน ....

วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

เมื่อกลัวจึงกล้า

 

เมื่อกลัวจึงกล้า

>>> ความกลัวคือแรงบันดาลใจให้กล้าและก้าวสู่การพัฒนา <<<

คนเราเกิดมาย่อมมีความกลัวติดตัวมาไม่มากก็น้อย อาจจะเพราะสภาพแวดล้อม อาจเพราะการเพาะบ่มสอนสั่ง

ตอนเด็ก กลัวนั่นกลัวนี่ เพราะถูกหลอก ถูกขู่ ถูกบอกให้กลัว

โตขึ้นกลัวเรียนไม่ได้ กลัวไม่มีเพื่อน กลัวไม่มีความรัก

มีงานทำก็กลัวเงินเดือนจะน้อย กลัวไม่ได้ตำแหน่ง กลัวการไม่มี..

                        สู่วัยที่วันเหลือน้อย กลัวตายบ้าง กลัวไม่มีคนเลี้ยงดู กลัวความโดดเดี่ยว กลัวเจ็บปวด กลัวสารพัด

สัจจะสอนว่า อย่ากลัวความตาย เพราะมันคือเงาของสิ่งมีชีวิต แต่จงกลัวชีวิตก่อนและหลังความตายให้มาก

ประพฤติตนให้ดีก่อนตาย เพื่อจะได้รับผลในชีวิตหลังความตาย ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด คือช่วงเวลาในปัจจุบัน ใช่หรือไม่ เราควรที่จะเข้าใจชีวิตของเราบนโลกแห่งความจริง  และตื่นมาทำวันนี้ปัให้ดีที่สุด เพื่อเตรียมตัวเราหลังความตายกลับสู่บ้านพระบิดา

หกล้มไม่น่ากลัว ที่น่ากลัว คือ ไม่ยอมลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

เกิดมาในครอบครัวฐานะยากจนไม่น่ากลัว ที่น่ากลัว คือ หนักไม่เอาเบาไม่สู้

คนอื่นดูถูกดูแคลนไม่น่ากลัว  ที่น่ากลัวก็คือ ตัวเองดูถูกตัวเอง

อย่าใช้ชีวิตอยู่กับคำนินทาของคนอื่น อย่าหวังความสุขจากการถูกยอมรับ

รู้ไว้เถิด ทุกคนต่างก็มีดีอยู่ในตัวเอง....

คนเราทุกคนต่างเคยตกที่นั่งลำบากเหมือนกันทุกคน

เมื่อใดที่เผชิญกับความยากลำบาก อย่าได้เอาแต่โทษกล่าวหรือปรักปรำ

ในเมื่อเราทุกคนย้อนกลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้ ก็ตั้งใจทำตอนนี้ เพื่อปูทางสิ่งที่ดีในอนาคต

คิดเป็น ทำเป็น บวกกับความมานะพยายาม  คนเช่นนี้ คือ คนที่ก้าวผ่านความกลัว

อย่าได้กลัวว่าจะไร้ตัวตนไม่มีคนมองเห็น

อย่าได้กลัวว่าจะโดดเดี่ยว ไม่มีใครเข้าใจ

เราโดดเดี่ยวมาตั้งแต่ต้น  คนที่ผ่านมาจะใกล้ชิดสนิทแค่ไหน  สุดท้าย ยังคงต้องผ่านไป

เข้าใจความไร้ตัวตน ละการดิ้นรนไขว่คว้า

จะอยู่ลำพัง กลางฝูงชน จะโดดเดี่ยวหรือมีคนเคียงข้าง

จะได้รับการยอมรับ หรือมองผ่าน เราก็ยังเป็นสุขได้ ด้วยตัวของเราเอง ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร

ดังคำกล่าวที่มีมา “ทองแท้” ย่อมไม่กลัวไฟ ใครจะว่าอะไรปล่อยเขาว่าไป คนฉลาดพอเขาจะฟังความรอบด้าน และจะกล้าทบทวนตัวเองว่า  เราเป็นไปตามสิ่งที่ผู้คนพูดถึงหรือไม่ แต่ก็ใช่ว่าต้องนำทุกคำพูดมานั่งคิด เพราะมันไม่สามารถทำให้เราก้าวพ้นหนทางเดิมได้

ความกลัวคือพระพรประการหนึ่ง เพื่อทำให้เรามีความถ่อมตน

ความกลัวสอนให้เราวางใจในพระเจ้าเสมอ

ความกลัวเป็นสิ่งเตือนตนเพื่อสร้างความกล้าสู่ความเก่ง โดยมีความรักเป็นศูนย์กลาง พร้อมนำพาสู่ความสุขสันติในชีวิต...

วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ให้ บุญ คุณ ค่า

 

ให้ บุญ คุณ ค่า

>>> บุญสร้างธรรม บุญมิได้วัดผลที่มูลค่า <<<

บุญไม่ได้อยู่ที่วัด แต่อยู่ที่จิตอันเป็นกุศล ไม่มีตัวตน แต่มีดอกผลคุ้มครองตัวผู้ทำ

ทางสายบุญ...ไม่ได้มีอยู่แค่สายเดียว แต่มีหลายร้อยสาย สุดแต่ใครจะมองเห็นได้


การทำบุญ...
ไม่ต้องทุ่มเทยิ่งใหญ่ เพราะความยากง่าย ไม่ได้อยู่ที่การลงทุน

ผู้แสวงบุญ...ไม่ต้องดิ้นรนแข่งขัน ไปทุกที่เพื่อทำทานให้บุญเกินตัว การสั่งสมบุญนั้นต้องรู้จักประมาณตน

 บุญใด??...ที่ทำแล้วเดือดร้อนตน บุญนั้นย่อมไม่เกิดกุศล ทำบุญด้วยใจ​ ทำแล้วเราไม่เดือดร้อน ทำมากหรือน้อย​ ย่อมได้ผลบุญเช่นกัน ทำแล้วไม่ต้องคิดต่อว่าสิ่งที่ทำบุญนั้นถูกนำไปใช้อย่างไร

            บุญไม่ต้องอวด...หากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องถ่ายภาพลงสื่อ เพราะคุณค่าจะลดน้อยลง บ่อยครั้งทำให้จิตใจเราเกิดความอยากเด่นอยากดัง โดยเอาบุญบังหน้า และคำยกย่องสรรเสริญคือรางวัลในโลกนี้ แทนรางวัลในสวรรค์เสียแล้ว

บุญอยู่ที่ใจ... แค่คิดจะทำบุญก็สุขใจ ทำความดีแล้ว ไม่ต้องหวังผลตอบแทน ทำความดีแล้ว

ไม่ต้องให้ใครเห็น ทำความดีก็จารึกไว้ในใจแล้ว บุญคู่อยู่กับใจ ตายไปแล้วบุญก็จะตามติดไปสู่ราชัยสวรรค์

วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

สุขให้เป็นกับชีวิต

 

สุขให้เป็นกับชีวิต

>>> จะสักกี่คนที่รู้วันเวลาของตัวเอง มีเวลาก็สร้างสุขให้เป็น <<<

โลกวันนี้บอกเราว่า เงินทอง ทำให้คนวิ่งเข้าหา  แต่…“มัน” ซื้อความจริงใจไม่ได้เลย                                               

สังคมเพาะบ่มเราว่า   อำนาจจะทำให้คนเกรงกลัว แต่...“มัน”ไม่ทำให้คนเคารพนับถือจากใจจริงได้                        

       ใช่หรือไม่…การยอมรับว่าตนเองเป็นคนธรรมดา   ย่อมทำให้อยู่ง่ายกว่า  สบายใจกว่า...

การยอมรับว่าเป็นคนธรรมดาและทำชีวิตที่ธรรมดา ให้เป็นชีวิตที่ดี นั่นคือความ  ไม่ธรรมดาที่ยิ่งใหญ่ ไม่ต้องแก่งแย่งกับใครไม่ต้องรู้สึกว่าเหนือกว่า หรือไม่ยอมด้อยกว่าใคร   เพราะถึงอย่างไร เราก็เป็นแค่ คนธรรมดา

ทำในสิ่งที่รัก มีความสุขกับสิ่งที่ทำ   ให้เวลา และดูแลคนที่เรารัก ในวิถีชีวิตที่เรียบง่าย แค่นี้...ก็ไม่ธรรมดาแล้ว

เราต่างก็เคย สุข ทุกข์   สมหวังและผิดหวัง ต่างเคยมีความรัก “ทำให้หลง”  และถูก ความรัก “ทำร้าย”

“ชีวิต” มันไม่เคยเรียบง่าย  อดทน ” ให้กับมัน และมี “ ความสุข ” กับวันเวลาที่เหลืออยู่ มากน้อยไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล

เพราะวันเวลาของเรา กับวาระของพระเจ้านั้นไม่เหมือนกัน…

วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ปูทางหรือทางปู

 

ปูทางหรือทางปู

>>> ทางนั้นมีมากมายให้เราก้าวเดิน เราต้องเลือกทางที่เหมาะสมกับเรา <<<

หนทางชีวิตช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มีอันต้องไปทำภารกิจแถว ๆ ชิดลม หลังสวน ราชประสงค์ ย่านดงรถติดชนิดที่ว่าเสียเวลากับชีวิตไปมากเกินความจำเป็น เดินทางด้วยรถไฟฟ้าสะดวกที่สุด และยังได้ออกกำลังกายเดินไปยังจุดหมายปลายทางด้วย ในช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้ ทางเดินยังปูด้วยอิฐตัวหนอน เป็นหลุมเป็นบ่อ พื้นไม่เสมอเวลาเดินต้องคอยหลบไปหลบมา ไม่นานมานี้ทางหน่วยงานของกรุงเทพฯ มีโครงการปรับภูมิทัศน์ ทำทางเดินเท้าใหม่จนแล้วเสร็จ ดูดีมีมาตรฐาน สะอาดและสะดวกขึ้น ร้านรวงที่เคยล่วงล้ำทางเท้าก็ลดหายไป 

ระหว่างเดินก็เห็นคนงานกำลังทำทางเท้าอย่างระมัดระวัง เพราะในแต่ละที่มีผู้คนต้องเดินไปเดินมาอยู่ตลอดเวลา ทั้งคนทำงานและคนใช้ทางต่างต้องคอยหลบคอยเบี่ยง จนเมื่อแล้วเสร็จเราจึงพบว่าทางเท้าแถวนี้ดูดีขึ้น ดูน่าเดินน่าใช้กว่าแต่ก่อน ทำให้คิดถึงทางเดินในชีวิตของแต่ละคน เป็นสิ่งที่ไม่เหมือนกันและเต็มไปด้วยความท้าทาย รวมถึงโอกาสต่าง ๆ ที่เราต้องเผชิญไปตลอดเส้นทาง การตัดสินใจ การเลือกทางที่เราเลือก ล้วนมีผลกระทบต่ออนาคตของเรา ชีวิตไม่ใช่เส้นตรงที่ราบรื่นเสมอไป

แต่เป็นเส้นทางที่มีทั้งขึ้นและลง บางครั้งอาจมีช่วงเวลาที่ยากลำบากที่ทำให้รู้สึกท้อแท้ แต่อย่าลืมว่าทุกอุปสรรคสามารถเป็นบทเรียนสำคัญที่ช่วยให้เราเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น สิ่งสำคัญคือการไม่ยอมแพ้ในทางเดินของตัวเอง เรียนรู้จากประสบการณ์ มองเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราเจอ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ความสำเร็จและความสุขที่แท้จริงมักจะอยู่ที่ปลายทาง และการเดินทางของเราแต่ละก้าวนั้นอาจจะมีคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ คนที่คอยปูทางให้เราเดินมาอย่างมั่นคงและปลอดภัย บางคนเราอาจจะหลงลืมไปแล้ว บางคนจากห่างหายไปจากชีวิตเรา บางคนยังอยู่ดูเราอย่างเงียบ ๆ มีบ้างบางคนก็ร่วมเดินทางที่ปูมานั้นไปพร้อมกับเรา แล้วเราล่ะ เราเป็นคนที่ปูทางเดินให้กับใครบ้าง เป็นคนปูทางโดยไม่ต้องประกาศ ไม่ต้องโอ้อวดให้ใครต่อใครล่วงรู้บ้างไหม? 


ชีวิตของคนเราก็มีความหลากหลาย และไม่มีใครเดินบนเส้นทางเดียวกัน มีบางครั้งที่เราเดินบนเส้นทางที่ราบเรียบและสะดวกสบาย แต่ก็มีบางครั้งที่เราต้องผ่านทางที่ขรุขระและท้าทาย นี่คือสิ่งที่ทำให้ “ทางชีวิต” ของแต่ละคนมีความพิเศษและน่าสนใจ
การเลือกเส้นทางชีวิตเป็นเรื่องสำคัญที่กำหนดทิศทางของเรา บางคนเลือกที่จะเดินทางไปตามสิ่งที่ใจสั่งมา บางคนเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยและมั่นคง และไม่มีทางใดที่ถูกหรือผิด ทุกเส้นทางมีความหมายในตัวของมันเอง

เราปูทางเดินของเราให้มั่นคงก่อนดีที่สุด เพื่อว่าจะได้รู้ว่าทางที่เราเลือกที่เราสร้างนี้เหมาะสมกับเรา อย่าไปเลือกทางตามแบบคนอื่น ที่เห็นแล้วมันสวยงาม เหมือนกับทางที่ปูเดิน เพราะเส้นทางนั้นไม่นานก็ถูกคลื่นลมโถมใส่ จนจางหายไป  เป็นทางที่เกิดขึ้นมาเพียงชั่วครั้งชั่วคราว อาจจะดูแปลก ดูสวยในบางเวลา ที่มันมิใช่ทางที่จะเป็นทางนำเราไปสู่จุดหมายปลายหวังได้

ระหว่างทางชีวิต สิ่งสำคัญไม่ใช่เพียงแค่ปลายทาง แต่เป็นการให้คุณค่ากับช่วงเวลาที่เรากำลังเผชิญ บางครั้งการเดินทางของเราไม่ได้มีความหมายแค่กับตัวเราเอง แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นด้วย การแบ่งปันประสบการณ์และเรื่องราวจากทางชีวิตของเราสามารถช่วยให้ผู้อื่นเห็นความหวัง และมีแรงบันดาลใจที่จะเดินตามเส้นทางของพวกเขาเอง แต่สิ่งสำคัญคือการที่เรายอมรับเส้นทางที่เราเลือกและเดินไปด้วยความมั่นใจและศรัทธาในตัวเอง และเดินตามทางของพระเจ้าเสมอ...


วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ตำแหน่งแห่งใจ

 

ตำแหน่งแห่งใจ

>>> ตำแหน่งไม่ทนทาน แต่ตำนานนี่สิคงทน <<<

อาจจะมีสักเสี้ยวหนึ่งของวันเวลาในชีวิต ที่เรามักคาดหวังถึงตำแหน่งแห่งตน ทำงานทำหน้าที่ก็เพื่อหวังจะมีตำแหน่ง เป็นความหวังในใจของทุกผู้คน มีบ้างบางคนที่ปรารถนาตำแหน่ง เพื่อช่วยเหลือคนอื่น เพื่อต่อยอดความดี แต่...เอาเข้าจริงหลายคนก็หลงใหลเมื่ออยู่ในตำแหน่ง เพราะมีอำนาจ มีบทบาทมากมาย โดยหลงลืมเนื้อแท้ที่ว่า “ตำแหน่งย่อมมาพร้อมกับความรับผิดชอบ” คนเราชอบมีตำแหน่ง แต่ไม่ชอบรับผิด ขอรับแต่ชอบ รับแต่การยกย่อง เช่นนี้แล้วเราจึงเห็นมีการใช้เงินใช้ทองเพื่อแลกซื้อตำแหน่งกันอย่างมโหฬาร จนกลายเป็นตำนานแห่งกลโกงทางออนไลน์ มีคนไม่มากนักที่มีตำแหน่งจะกลายเป็นตำนาน เพราะส่วนใหญ่มองว่า ตำแหน่งเห็นในโลกนี้ ส่วนตำนานเราไม่มีวันรู้ไม่มีวันเห็น...


 
“ตำแหน่ง” และ “ตำนาน”
ดูเหมือนจะเป็นคำที่ต่างกันด้านความหมายและการใช้งาน แต่ ทั้งสองคำนี้มีความสัมพันธ์กันในหลายแง่มุม คำว่า “ตำแหน่ง” กำหนดไว้สำหรับคนที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบเฉพาะที่สอดคล้องกับตำแหน่งนั้น ๆ การมีตำแหน่งช่วยสร้างความชัดเจนในโครงสร้างองค์กรและเสริมสร้างระบบบริหารให้มีประสิทธิภาพ ตำแหน่งยังเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จและการยอมรับในสังคม

 “ตำนาน” มักหมายถึงเรื่องราวที่สืบทอดกันมา อาจเป็นเรื่องจริงหรือสมมติขึ้น เพื่อถ่ายทอดความเชื่อหรือคติสอนใจ เป็นที่มาของความดีงาม ที่ทำให้ผู้คนได้รับความคิดใหม่ ๆ และมีจินตนาการ ที่สร้างแรงบันดาลใจทำให้คนนั้นเป็นที่จดจำ ที่สุดแล้วในวันนี้เรามีตำแหน่งอะไรก็ตามไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่ต้องไปคิดว่าตายแล้วอยากจะเป็นตำนาน เพียงแต่ว่าเรามีตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ในใจใครบ้าง มีใครได้พบเห็นแล้วสัมผัสถึงพระคริสต์ในตัวเราหรือเปล่า นี่ต่างหากที่เราควรจะต้องพยายามมีตำแหน่งนี้...

วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2567

รำพึงถึงเหตุรายวัน

 

รำพึงถึงเหตุรายวัน

>>> ไม่ต้องยืนในจุดที่ดีที่สุด เเค่มีความสุขในจุดที่ยืนอยู่นี่แหละ <<<

เรื่องราวหลากหลายรายวันเกิดขึ้นล้วนแต่นำพาสังคมที่พัฒนาทางด้านวัตถุมุ่งสู่กองทุกข์ ที่สร้างโดยคนที่ฉกฉวยประโยชน์จากกองทุกข์ของผู้คน แอบซ่อนเร้นหากำไรหากินกับความทุกข์ของชาวบ้าน หลอกลวงให้หลงงมงาย เอาความเชื่อมาหากิน หลอกตายใจว่าจะนำพาให้พ้นจากที่ที่เป็นอยู่ นำเอาภาพชีวิตที่หรูหรา เอาเงินเอาทองมากองให้เห็น แล้วสร้างบทว่าต้องทำตาม จึงจะประสบความสำเร็จ โลกในวันนี้เต็มไปด้วยความกลัว จึงเป็นที่มาของความทุกข์ยากลำบาก แล้วก็เที่ยววิ่งหาทางแก้ทุกข์ โดยไม่ยอมปล่อยวางทุกข์.....


 
เมื่อ..เจอ “ ความทุกข์ ”

 อย่า... ไปเปลี่ยนชื่อ   อย่า... ไปเปลี่ยนนามสกุล

อย่า... ไปแก้ดวง  อย่า... ไปบนบานศาลกล่าว

... แต่ให้อยู่กับ “ ความทุกข์นั้น ”

ให้ยาวนานเพียงพอ สังเกตมัน โอบกอดมันไว้

แล้ว... ใช้มัน เป็นเครื่องมือ ผลิตปัญญา ” ใหม่ให้คุณ...

มีปัญหาก็แก้กันไป แก้ไม่ได้ก็ปล่อยให้เป็นไป

ปล่อยให้การเอาชนะ เป็นเรื่องของกีฬา

หันมาใส่ใจกับความสุข  ที่ไม่เกินเอื้อมมือ ที่ไม่เดือดร้อนใคร

วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ปรุงจนปลอม

 

ปรุงจนปลอม

>>> สิ่งที่ปลอมอยู่ได้ไม่นานในโลกแห่งความเป็นจริง <<<

ความสุขของมนุษย์อย่างหนึ่ง คือ การรับประทานอาหารที่มีรสชาติถูกปาก วิวัฒนาการของการปรุงอาหารเป็นกระบวนการที่น่าสนใจ และมีความสำคัญต่อการพัฒนาของมนุษย์มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การปรุงอาหารได้เปลี่ยนแปลงไปตามวัฒนธรรม เทคโนโลยี และความต้องการของผู้คน ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ มนุษย์เริ่มต้นด้วยการใช้ไฟในการปรุงอาหาร ซึ่งช่วยให้เนื้ออร่อยขึ้นและทำให้ย่อยง่ายขึ้น ในยุคโบราณมนุษย์เริ่มใช้เครื่องมือในการเตรียมอาหาร มีด หินบด และหม้อดิน การปรุงอาหารมีความหลากหลายมากขึ้น พอเริ่มมีการค้าขาย การแลกเปลี่ยนวัตถุดิบและเทคนิคการปรุงอาหารระหว่างวัฒนธรรมต่าง ๆ ทำให้เกิดอาหารหลากหลายรูปแบบ ในศตวรรษที่ 18-19 การผลิตอาหารเริ่มมีการพัฒนาเทคโนโลยี มีการทำอาหารกระป๋องและการแปรรูป ยุคดิจิทัลในปัจจุบัน การแชร์สูตรอาหารออนไลน์ และการเข้าถึงวิดีโอสอนทำอาหารทำให้เราเรียนรู้และสร้างสรรค์อาหารใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้น

การทำอาหารแต่ละครั้ง เรามักจะใส่เครื่องหลากหลายอย่าง เพื่อเพิ่มความอร่อย เราทานอาหารเพื่อความอร่อยปากมากกว่าทานเพื่อรับคุณค่าทางอาหาร ความสามารถในการปรุงแต่งสร้างสรรค์คิดค้นทางด้านการกินนั้นซึ่งสัตว์อื่นไม่มี แม้เราจะพยายามปรุงแต่งสารอาหารเพื่อให้สัตว์เลี้ยงเราชอบ แต่ก็ใช่ว่าสัตว์เหล่านั้น จะเรียกร้องกินตาม มันก็กินเท่าที่มันหิว มีอะไรกินได้มันก็กิน ไม่ต้องใช้พ่วงปรุงอาหาร เหมือนเวลาเรากินก๋วยเตี๋ยวที่ต้องเติมน้ำตาล น้ำปลา น้ำส้วม พริก บางร้านมีพริกเผาด้วย ....

วิวัฒนาการของการปรุงอาหารไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี แต่ยังสะท้อนถึงวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ด้วย ความสร้างสรรค์ปรุงแต่งทำให้เรามนุษย์เจริญขึ้นมา ทำให้เกิดมีเทคโนโลยีมีสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ มากมาย ใช่หรือไม่ หากย้อนกลับไป กว่าที่มนุษย์เราจะคิดออกมาเป็นวัตถุปรุงแต่งสร้างสรรค์ได้ ก็คงเริ่มมาจากความคิดในใจที่อยากจะมีความสุข อยากจะสบาย ความอยากนี้มันอยู่คู่โลกมาทุกยุคทุกสมัย ยิ่งอยากมากเท่าไร เราก็ยิ่งมีสิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ ๆ ใจเราก็ถูกปรุงแต่งขึ้นไปตามความอยาก ปรุงไปปรุงมา กลายเป็นความจอมปลอม เพราะถอยห่างจากความจริงมาเรื่อย ๆ

    ยิ่งวันนี้เราอยู่ในสังคมที่ถูกปรุงแต่งมีแต่ความฉาบฉวยและการโอ้อวด ใครโม้เก่ง พูดเก่ง มักจะกลายเป็นขวัญใจออนไลน์ อวดกันสร้างภาพ เอาความดีมาฉาย ต่อหน้าใจบุญกุศลลับหลังคนคือจอมมาร ปีศาจ พร้อมที่จะขับไล่ทุกคนที่มาขอความช่วยเหลือ บางทีสร้างภาพจนหลงเคลิ้มว่าตัวเองเป็นเช่นนั้น แต่ก็เป็นได้ไม่นาน เพราะการปรุงแต่งหาใช่ของแท้ บางคนสร้างภาพลักษณ์เพียงเพื่อจะได้ขายสินค้า เอาผลประโยชน์เข้าตัวเอง ทางที่ดีเราต้องเลิกเอาโลกจอมปลอมบนโลกโซเชี่ยลมาเปรียบเทียบกับชีวิตของเรา ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีใครเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างหรอก ที่เราเห็นกันอยู่ ที่โชว์กันให้ว่อนเน็ตนั้น ส่วนมากเลือกที่จะโชว์ด้านที่ทำให้ตัวเองดูดี เป็นนักบุญด้วยกันทั้งนั้น  เราอย่าหลงเพีบงรูปลักษณ์ภายนอกที่ถูกปรุงแต่งมาแล้วเลย อย่าให้สิ่งที่ปรุงแต่งมาปั่นให้เราป่วน อย่ามัวสนใจแต่เรื่องของคนอื่นจนลืมมองสิ่งดี ๆ ที่อยู่รอบตัวเรา

สังคมในวันนี้เราเห็นการปรุงแต่งเนื้อหาเพื่อนำโอ้อวดกัน เพื่อต่อยอดความอยากของผู้คน และหาผลประโยชน์จากความอยากได้อยากมีของคนอื่น จนถึงขั้นอวดบุญด้วยทุนของคนอื่น ทุกคนต่างปรุงแต่งใส่กัน วนเวียนอยู่กับของปลอมแปลง ความสัมพันธ์ ความผูกพันที่เคยแนบแน่น มาถึงวันนี้มีแต่ความระแวง ระวังถึงความจริงใจต่อกัน ความสุข สันติของโลกกำลังถูกกลืนกินด้วยวัฒนธรรมแข่งกันปรุงแต่ง ตกลง ความจริงอยู่ตรงไหนกัน......

วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2567

กลับด้าน

 

กลับด้าน

>>>  เราล้วนอยากจะเป็นที่หนึ่ง จึงต้องเอาชนะทุกผู้คน จนลืมที่จะเอาชนะตัวเอง  <<<

            เช้าวันหนึ่งแหงนหน้ามองท้องฟ้า เห็นปุยเมฆเป็นปุยเล็ก ๆ ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า ผ่านไปไม่นานท้องฟ้าก็แปรเปลี่ยนเริ่มขมุกขมัว กลายเป็นฟ้าที่พร้อมจะเทฝนลงมา บางทีในชีวิตเราก็มักพบเจอกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเช่นนี้ ชนิดที่เรียกว่ากลับด้านเลยทีเดียว เช่น คนที่ยึดมั่นความซื่อตรง ความซื่อสัตย์ในหน้าที่ ไม่คดโกงก็มักจะกลายเป็นคนไม่มีเพื่อน กลายเป็นคนที่ถูกเมิน เพราะเราล้วนถูกปลูกฝังมาให้เป็นที่หนึ่งเสมอ ค่านิยมนับถือคนที่ตำแหน่งแห่งหน ที่ความเด่นดัง จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อความเป็นที่หนึ่ง แต่เชื่อเถอะ พอไม่ได้อยู่บนตำแหน่งที่หนึ่งแล้วก็มักไปต่อกันไม่เป็น...


บริษัทโฆษณาแห่งหนึ่งรับสมัครเด็ก ๆ เข้ามาทดสอบการแสดง และบอกให้เด็กแต่ละคนขึ้นไปยืนบนโพเดียมที่มีตำแหน่งที่หนึ่ง ที่สอง และที่สาม  เด็ก 81 % ที่มาเลือกยืนบนตำแหน่งที่หนึ่ง นักจิตวิทยาหนึ่งในทีมงานถามว่า “เพราะอะไรจึงเลือกไปยืนบนตำแหน่งที่หนึ่ง

คำตอบที่ได้ “แม่บอกว่าถ้าได้ที่หนึ่ง แม่จะซื้อลูกหมาให้หนูค่ะ”... “ถ้าได้ที่หนึ่ง ผมจะมีความสุขที่สุดครับ เพราะแม่จะกอดผม จุ๊บผมด้วยครับ” ... “แม่จะรักผม ถ้าผมได้ที่หนึ่ง” แล้วถ้าไม่ได้ที่หนึ่ง คำถามต่อมาถูกส่งไปให้เด็ก ๆ “ผมจะเศร้า ที่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง” “แย่เลยครับ บางทีพ่อแม่ก็บอกว่าไม่ได้ที่หนึ่ง จะทำโทษให้ไปนอนนอกห้อง” “คงเศร้ามาก ถ้าพยายามเต็มที่แต่ไม่ประสบความสำเร็จ กลัวแม่จะเสียใจ”

เด็ก ๆ บอกว่าที่อยากเป็นที่หนึ่งเพราะพ่อแม่ของพวกเขาคาดหวังไว้ เมื่อเด็กถูกถามว่า ถ้าเป็นตัวเองคิดเองจะอยากได้ที่เท่าไหร่.. เด็กส่วนใหญ่เลือกยืนบนที่สอง  “ผมชอบที่สองมากกว่า ถ้าเอาจริง ๆ มันไม่ต้องคาดหวังกดดันตัวเองมาก .. ถึงไม่ได้ที่หนึ่ง ผมคิดว่ามันก็จะทำให้ผมพยายามขึ้น ไม่ยอมแพ้ครับ .. และถ้าผมเคยพลาด ผมก็จะได้รู้ว่ามันเป็นยังไง... “หนูอยากได้ที่ 2 นะคะ ไม่เครียดดี แถมได้เรียนรู้จากคนที่เก่งกว่าและจะได้พยายามมากขึ้นไปอีกด้วยค่ะ”

บางครั้งการเป็นผู้ชนะก็อาจจะไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นที่หนึ่งเสมอไป การเป็นผู้ชนะ คือ การที่เรายอมรับ เข้าใจ เอาชนะใจตัวเองได้ ความสำเร็จไม่ได้วัดที่ลำดับ แต่มาจากการปรับตัวอย่างเหมาะสมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต การสั่งสอนปลูกฝังเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้สังคมกลับมาสู่สันติ แข่งขันกันทำดีย่อมดีกว่าแข่งขันกันทำเพื่อตัวเอง

วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2567

โลกที่มากกว่าสองด้าน

 

โลกที่มากกว่าสองด้าน

>>> ทุกคนล้วนมีโลกด้านของตัวเองอย่างเหนียวแน่น เราจึงอยู่ในโลกหลากหลายด้าน<<<

 ก่อนอื่นใดทั้งปวงขอเชิญพวกเราร่วมแรงร่วมใจ ส่งความห่วงใยไปยังพี่น้องที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์น้ำท่วม เฉพาะอย่างยิ่งที่แม่สาย และหลายพื้นที่ในจังหวัดเชียงราย ที่ได้รับผลกระทบหนัก เมื่อหลายวันที่ผ่านมามวลน้ำเข้าท่วมพื้นที่อย่างรวดเร็ว ทำให้มีผู้ป่วยติดเตียง คนชรา ติดอยู่ในบ้าน รอความช่วยเหลือ และมีผู้คนที่บ้านเรือนถูกน้ำท่วมขังอีกหลายครอบครัว อย่างน้อย ๆ คำภาวนาของเราคงพอจะเป็นกำลังใจให้กับพวกเขาเหล่านั้นได้บ้าง และถ้าเราช่วยทางด้านสิ่งของได้ก็ช่วยไปนะพี่น้อง ช่วยบรรเทาทุกข์กันและกัน ในขณะเดียวกันเราก็ต้องเตรียมรับกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในวันข้างหน้า ด้วยการดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาท เรียนรู้โลก เรียนรู้ชีวิตในหลากหลายด้าน

การดำเนินชีวิตของแต่ละคนย่อมต้องพบเจอกับเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย บางเรื่องอาจทำให้เรามีความสุข มีบ้างบางเรื่องกลับทำให้เรามีความทุกข์ ด้านหนึ่งเป็น “ด้านบวก” ที่ส่งผลทำให้จิตใจมีพลัง กระชุ่มกระชวย นำมาซึ่งความสุขของชีวิต  ขณะที่ด้านหนึ่งเป็น “ด้านลบ” ที่ส่งผลให้จิตใจของเราหดหู่ เหี่ยวเฉา และเบื่อหน่ายไปกับการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ยิ่งเห็นคนนั่นคนนี่อวดอ้างความสำเร็จบนหน้าโซเซียล ยิ่งด้อยค่าตัวเองลงไปมาก โดยที่หารู้ไม่สิ่งที่เราเห็นมีความจริงเพียงเศษเสี้ยวเดียว ไม่มีใครจะโชว์ความเป็นตัวเอง อวดอ้างความจริงได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ มันยังมีอีกหลากแง่มุมที่เรามิได้สัมผัสถึง

ในอดีตช่องทางการสื่อสารในวงกว้างถูกจำกัดอยู่ในกลุ่มแคบ ๆ อยู่แค่ในทีวี หนังสือพิมพ์ วิทยุ เรื่องราวทุกอย่างถูกถ่ายทอดจากมุมมองของคนเพียงกลุ่มเดียว เป็นการสื่อสารทางเดียว ไม่มีพื้นที่ให้คิดว่าสิ่งที่ได้ยินได้เห็นได้อ่านมานี่ใช่ความจริงหรือไม่ แต่...เมื่อโลกเปลี่ยนไป ทุกวันนี้ใครอยากบอกอะไรให้โลกรู้ ก็มีช่องทางมากมาย แค่โทรศัพท์เครื่องเดียวก็เกินพอ ทำได้ทันที เรื่องราวมาจากหลายมุมมอง เชื้อชาติ วัฒนธรรม ก็เริ่มเกิดคำถามว่า “แล้วจริงที่สุด คืออะไร” เรื่องเดียวกันเมื่อต่างคนต่างเล่าจึงไม่เหมือนกัน จึงเกิดการถกเถียงกัน

การถกเถียงด้วยเหตุผลก็เป็นอีกทักษะที่สำคัญ ในปัจจุบันแทบทุกอย่างมีพื้นที่ให้แสดงความเห็น จะมาเอากำปั้นทุบโต๊ะแล้วบอกว่า “เชื่อฉัน มันต้องเป็นแบบนี้” ไม่ได้แล้ว บนโลกออนไลน์ไม่มีใครเกรงใจใคร ความเห็นที่อ่อนแอ ข้าง ๆ คู ๆ ก็แพ้ไป แล้วรู้ได้ยังไงว่าอะไรจริง อะไรปลอม? บางเรื่องอาจมีความจริงเพียงหนึ่งเดียว แต่หลากหลายความคิดเห็น จริงของเขา กับจริงของเรา อาจจะไม่มีความจริงเลยก็ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นกับการตีความ สิ่งที่เราทำได้ก็คือค้นหาเสาะแสวงหาความจริง และไม่ยึดติดกับบุคคล ไม่ลืมว่าทุกคนก็เป็นคน มีผิดพลาดกันได้ ใช่หรือไม่ การลองรับความเห็นที่ต่างออกไปอาจจะเปิดโลกทัศน์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ การตั้งใจรับฟัง ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แค่เป็นผู้รับสารที่ดี แล้วเอาไปคิด ไปไตร่ตรอง ครองชีวิตให้อยู่ในหนทางความดีงาม ปรับตัวให้ทันโลก รับข่าวสารข้อมูลด้วยการเห็นโลกหลากหลายมุม

ทุกคนคงจะหนีความจริงไม่ได้ ความจริงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นควรจะเผชิญหน้ากับความจริง ยอมรับในฐานะความเป็นอยู่ ยอมรับในความสามารถของตัวเอง ยอมรับในเหตุการณ์หรือสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ย่อมผ่านมาและก็ผ่านไป อย่าพยายามยึดติดกับสิ่งนั้น เพราะการยึดติดจะทำให้มีแต่ความทุกข์ การยึดติดนั้นจะรวมความถึงการคิดถึงแต่เรื่องนั้น ๆ อยู่ตลอดเวลา ทำให้เราพลาดโอกาสที่จะเห็นความงามของสิ่งต่าง ๆ ไปได้ ความงามในการเห็นอกเห็นใจ ความงามในความสงสาร ความงามในการช่วยเหลือกันแบบไม่หวังผลตอบแทน รู้สึกดีใจเมื่อเห็นคนอื่นมีความสุข

ในตัวเรานั้นมี “ด้านพระ” กับ “ด้านผี” อยู่ด้วยกันทุกคน วันนี้เราเอาด้านพระออกมาให้มาก ให้ความรัก ความเมตตาอารีต่อกันโดยไม่ต้องหวังอะไร เป็นการนำด้านพระออกมาให้คนทั่วไปได้มองเห็น ใครจะวิพากษ์วิจารณ์เช่นไรก็อย่าใส่ใจ เพราะโลกวันนี้มันมีหลายด้าน ทำชีวิตด้านพระของเราให้สมบูรณ์เต็มที่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว