วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

สู่สวรรค์ในตัวตน

 

สู่สวรรค์ในตัวตน

>>> อย่าเสียเวลาพยายามเป็นอย่างที่คนอื่นอยากให้เป็น <<<

หากเราสังเกตดูดี ๆ เวลาเราใช้สื่อสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเปิดดูเรื่องราวที่สนใจ หรือหาสินค้าที่เราต้องการ เพียงเปิดครั้งสองครั้ง ไม่นานเรื่องราวที่เหมือน ๆ กัน สินค้าแบบเดียวกัน ก็จะขึ้นมาให้เราได้เห็นเต็มไปหมด เพราะระบบ AI จดจำสิ่งที่เราสนใจและประมวลผลอย่างรวดเร็ว จึงทำให้เราจ่มจมอยู่กับเรื่องราวเหล่านั้น และฝั่งในลงสมองให้เราจดจำ คล้อยตาม จนไม่เป็นตัวของตัวเอง อย่างเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความสนใจหนังสือการ์ตูนเล่มหนึ่งที่ได้รับการกล่าวขวัญมาก คือหนังสือชื่อ อนาคตที่ฉันเห็น เขียนโดย Ryo Tatsuki เป็นการ์ตูนที่วาดไว้ก่อนล่วงหน้า โดยผู้เขียนฝันถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ซ้ำ ๆ แล้วก็ได้บันทึกไว้ในช่วงปี 70 - 80  มีเหตุการณ์ต่าง ๆ ในโลกเกิดขึ้นจริงตามความฝันนั้น ที่ชัดที่สุด คือ สึนามิญี่ปุ่นที่เกิดในเดือนมีนาคม ปี 2011 และการทำนายเรื่องการระเบิดของภูเขาไฟครั้งใหญ่ ในต้นเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศแผนรับมือตั้งแต่ต้น ๆ ปี ผลปรากฏว่าทั้งวันมีแต่เรื่องการทำนายอนาคตของโลกนี้ขึ้นมาให้อ่าน ให้เห็นมากมาย ลามมาถึงหมอดูทั้งไทยและเทศ ทำให้รู้สึกคล้อยตามว่าโลกจะถึงกาลอวสานเสียแล้วกระมัง...

จนมานั่งคิด มานั่งไตร่ตรองดู ในชีวิตจริงของเรามักจะถูกชักจูง ถูกโน้มนำดูคนอื่นอยู่เสมอ ๆ จนกระทั่งความเป็นตัวเองแทบหาไม่ได้ในบางช่วงบางขณะ ใช่หรือไม่ เราถูกปลูกฝังมาว่าเราต้องเป็นส่วนหนึ่งของสังคม พลอยทำให้เราแสวงหาการยอมรับจากคนอื่น เราจึงพยายามทำให้คนนั้นคนนี้พอใจ วิ่งตามคนอื่นชี้นำอย่างไม่จบสิ้น ทั้ง ๆ ที่ เอาเข้าจริงเราไม่มีทางที่จะทำให้ทุกคนพอใจเราได้ตลอดไป จนเมื่อเรารู้จักอยู่กับตัวตนเรา ก็คิดได้ว่าจะไปเสียพลังงานกับการเอาใจคนอื่นไปทำไม เส้นทางชีวิตของเรามีพระเจ้ากำหนด คุณค่าของเราไม่ได้ถูกกำหนดด้วยคำวิจารณ์ของใคร เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเอาใจคนอื่นตลอดเวลา

เป็น “ตัวของตัวเอง” นั่นแหละดีที่สุดแล้ว ไม่มีใครดีกว่าใคร ไม่ต้องไปสนใจว่า เดินในหนทางธรรมทำความดีตามแบบของเรา ใครจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ใช้ชีวิตตามตัวตน ตามพระฉายาลักษณ์ที่พระเจ้าประทานมาให้  และจำไว้ว่าเราไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ ดังนั้น ควรทำสิ่งที่เราต้องทำดีและทำให้ตัวเองมีความสุขจะดีกว่า มีคำกล่าวไว้ว่า “เห็นคนเห็นตน เห็นนิสัยคนอื่นหมื่นแสนล้าน ไม่สู้เห็นนิสัยตนสักเพียงหนึ่ง ตัดสินคนอื่นได้มากมาย ตัดสินใจแก้ไขตนเองไม่ได้ ก็ไม่สู้ อย่าไปตัดสินอะไรใคร”

มีความฉลาดรู้รอบสารพัด แต่ไม่รู้ใจตนก็เท่านั้น ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน นั่นคือ รู้จักหันกลับมามองดูตนเอง พิจารณาตนเอง ยอมรับตนเอง ปรับปรุงแก้ไขตนเองมากกว่าสนใจไปยังผู้อื่น ผู้ที่เต็มเปี่ยมในตนจึงไม่แสวงหาการเติมเต็มจากผู้อื่น เมื่อไม่คิดจะแสวงหาการเติมเต็มจึงสามารเห็นคุณค่า และให้ความเคารพต่อผู้คนได้อย่างแท้จริง

โลกเรามีคนอยู่เป็นพันล้านคน และทุกคนถูกสร้างมาให้แตกต่าง ไม่ใช่แค่หน้าตาภายนอก บุคลิกนิสัย แม้กระทั่งลายนิ้วมือที่ไม่เคยมีใครซ้ำกัน นี่เป็นอัศจรรย์การสร้างอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในตัวเราแต่ละคน ทุกอย่างในตัวเราเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำแบบใคร เลิกที่จะไปเลียนแบบพฤติกรรมความคิดคนอื่น ไม่ว่าเราจะมีลักษณะแบบไหน มันคือความงดงามที่แตกต่าง อย่าไปเอามาตรฐานคนอื่นมาลดคุณค่าของตัวเรา เชื่อมั่นในพระเจ้าผู้ทรงสร้างเรามา และนี่ล้วนเป็นสวรรค์ในตัวตนของเรา มาทำให้สวรรค์นี้เป็นที่ประจักษ์ต่อคนอื่น โดยไม่ต้องไปบังคับ โน้มนำให้คนทุกคนให้มาทำตามเรา และแม้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร เราจงเป็นตัวตนลูกของพระเจ้า และมั่นใจว่าพระองค์จะอยู่กับเราเสมอนะครับ

วันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

หยุดทรยศตัวเอง

 

หยุดทรยศตัวเอง

>>> ความรู้ไร้ประโยชน์หากปราศจากความรัก <<<

ได้พบบทความเรื่องราวที่ไม่เคยเล่าขานของสมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 พระสันตะปาปาองค์ที่ 267 มาให้ได้อ่านและรับรู้ว่าพระเจ้าได้ทรงเลือกคนที่เหมาะสมกับยุคสมัยจริง ๆ

ในปี 1975 โรเบิร์ต พรีโวสต์ ครูสอนคณิตศาสตร์ในชิคาโก ผู้ศรัทธาในศาสนาคาทอลิกอย่างลึกซึ้ง ได้รับการตอบรับเข้าศึกษาต่อในคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เขามีทุกสิ่งที่ชายหนุ่มคนหนึ่งจะใฝ่ฝัน แต่แล้ว...เขากลับตัดสินใจในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด เขาปฏิเสธฮาร์วาร์ด ปฏิเสธอนาคตที่จะร่ำรวย ชื่อเสียง ความสะดวกสบาย และตอบรับในสิ่งที่น้อยคนกล้าเลือก ชีวิตแห่งการเสียสละ มอบตนเข้าร่วมกลุ่มมิชชันนารีและย้ายไปเปรู ที่ที่ไม่ใช่ในเมือง ไม่ใช่ในแหล่งท่องเที่ยว แต่ไปยังหมู่บ้านที่ห่างไกล ที่เด็ก ๆ เสียชีวิตจากโรคที่รักษาได้ และครอบครัวต้องเดินเท้าเป็นไมล์

เพียงเพื่อน้ำสะอาด ไม่มีถนน ไม่มีน้ำประปา ไม่มีคลื่นโทรศัพท์ มีเพียงภูเขา ความเงียบ และความยากจน แต่เขายอมรับมันราวกับบ้านเกิด

ท่านไม่ได้เพียงแค่ใช้ชีวิตท่ามกลางผู้คน แต่กลายเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเขา เรียนรู้ภาษาเกชัว ภาษาศักดิ์สิทธิ์ของชาวอินคา แบกอาหาร เดินเท้าเป็นเวลาหลายวัน นอนบนพื้นดินกับชาวบ้าน สวดภาวนาภายใต้แสงดาว สอนคณิตศาสตร์ให้กับเด็กใต้หลังคาที่ผุพัง เมื่อไม่ได้สอน ก็ช่วยแบกคนป่วยบนหลังลา เพื่อไปรับการรักษา ท่านรับฟังทุกเรื่องราวที่ไม่มีใครใส่ใจ

ในขณะที่เพื่อน ๆ กลายเป็นทนายความและแพทย์ ท่านลับกลายเป็นบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างออกไป เป็นนักรบแห่งศรัทธาผู้เงียบสงบ การกระทำของท่านไม่ได้ถูกเผยแพร่ แต่ก้องกังวานไปทั่วเทือกเขาแอนดีส บรรดาพระสังฆราช พระสงฆ์ สังเกตเห็น และในที่สุดวาติกันก็รับรู้ จึงเชิญท่านกลับมาเพื่อนำคณะออกัสติน จากการรับใช้หมู่บ้านสู่การดูแลนักบวช 2,800 คน ในกว่า 40 ประเทศ ถึงกระนั้น ท่านก็ยังคงสวมรองเท้าแตะคู่เดิม ยังคงเดินไปกับคนยากไร้ ปฏิเสธความหรูหรา

แล้วการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งก็มาถึง ในปี 2020 ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นพระอัครสังฆราชและได้รับหน้าที่ให้ดูแลพระสังฆราชทั่วโลก ท่านไม่ได้เพียงแค่พูดภาษาละตินหรือกฎหมายศาสนจักรได้อย่างคล่องแคล่ว กลับคล่องแคล่วในความเมตตา ในความถ่อมตน ในการรับฟัง ในการอยู่เคียงข้างพระศาสนจักร 30 กันยายน 2023 สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสทรงประกาศอย่างเป็นทางการแต่งตั้งให้ท่านเป็นพระคาร์ดินัล และแล้วประวัติศาสตร์ก็ถูกสร้างขึ้น เป็นครั้งแรกชาวอเมริกัน อดีตครูสอนคณิตศาสตร์ มิชชันนารีผู้ถูกลืม ได้เป็นพระสันตะปาปาองค์ที่ 267 แห่งพระศาสนจักรคาทอลิก และพระองค์ท่านก็ไม่เคยลืมผู้คนที่หล่อหลอมพระองค์ท่านจนถึงทุกวันนี้

โลกหมกมุ่นอยู่กับอำนาจแต่พระสันตะปาปาเลโอที่ 14 พิสูจน์ให้เห็นว่า ตำแหน่งไม่มีความหมาย หากปราศจากการรับใช้ ความรู้ไร้ประโยชน์หากปราศจากความรัก และความเชื่อหากปราศจากการเสียสละก็เป็นเพียงเสียงฉาบและฉิ่งเท่านั้น พระองค์ท่านพยายามหันหลังให้กับโลก แต่กลับต้องมาเพื่อเปลี่ยนแปลงโลก  (บทความโดย Catholic Christianity)

สมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่ ท่านไม่เคยที่จะทรยศกับเสียงภายในเลย พระองค์ท่านซื่อสัตย์ต่อการเรียกร้องของพระเจ้าเสมอ และเกิดมาเพื่อเพื่ออื่นโดยแท้จริง วันนี้เราต้องถามตัวเองเสมอ ๆ ว่า เราได้ทรยศกับตัวเองมากน้อยแค่ไหน เราทรยศต่อพระเยซูเจ้าผู้ประทับอยู่กับเราทุกวันมากน้อนแค่ไหน แต่อย่าลืมว่า พระองค์ทรงให้อภัยเราเสมอ เราก็ต้องรู้จักให้อภัยตัวเราเองด้วยเช่นเดียวกัน

วันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

สิ่งที่เราคิดอาจมิใช่สิ่งที่พระเจ้าบอกเรา

 

สิ่งที่เราคิดอาจมิใช่สิ่งที่พระเจ้าบอกเรา

>>> พระศาสนจักรเป็น “บ้านและโรงเรียนแห่งความเป็นหนึ่งเดียว” ที่แท้จริง <<<

ขณะที่เขียนบทความนี้อยู่ยังไม่รู้ว่า เรามีพระสันตะปาปาคือพระองค์ไหน? เพราะเพิ่งผ่านการเลือกตั้งครั้งแรกไปเมื่อคืนนี้ (เช้า 8 พฤษภาคม 2025) ก่อนหน้านั้นมักมีคนถามว่า “ใครจะได้เป็นพระสันตะปาปาองค์ใหม่” ก็ได้แต่ตอบว่า “ไม่ทราบ รู้เพียงว่าพระเจ้าจะทรงเลือกสรรผู้ที่เหมาะสมกับกาลเวลาเสมอ” หลายคนก็ไม่เข้าใจ เพราะจะติดตามข่าวจากสื่อมวลชนที่มักจะมีพระคาร์ดินัลตัวเกร็ง แต่ด้วยประสบการณ์ที่ได้อยู่ร่วมกับการเลือกตั้งพระสันตะปาปามาหลายสมัย เรามักจะได้ผู้นำจิตวิญญาณแบบที่เราไม่คาดคิดเสมอ เพราะการเลือกตั้งพระสันตะปาปานั้นมีพระจิตเจ้านำทาง มิใช่เป็นกระบวนตามที่เราคุ้นชิน และคาดการณ์ได้ง่าย

บางทีพระเจ้าก็ทรงสอนเราผ่านทางเหตุการณ์สำคัญ ๆ นี้ หากเราได้ไตร่ตรองดี ๆ เราจะพบว่า สิ่งที่มนุษย์คิดอาจจะเป็นไม่ได้ ทุกอย่างอยู่ในแผนการของพระเจ้าเสมอ เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้น “ล้วนดีเสมอ” เราอยู่ในยุคที่เต็มไปด้วยการสื่อสารและมักถูกกระแสแห่งการสื่อสารชักนำและคล้อยตามจนขาดความไว้วางใจพระเจ้า ดูการถ่ายทอดพิธีกรรมก่อนการเลือกตั้ง ได้ยินบทเร้าวิงวอนนักบุญทั้งหลาย ทำให้เข้าใจว่า ลำพังความคิดมนุษย์นั้นไม่สามารถทำอะไรได้เลย หากไร้พระเจ้าเพื่อชี้นำทาง นี่แหละ ความเชื่อที่เราต้องนำมาใช้ในชีวิตจริง อย่าคิดว่าเก่ง อย่าคิดว่าดีแล้ว จะทำอะไรก็ขอพระเจ้าทรงนำทาง และกิจการนั้นก็จะสมบูรณ์

 พระคาร์ดินัล โจวานนี่ บัตติสต้า เร หัวหน้าคณะพระคาร์ดินัล เป็นประธานในพิธีได้กล่าวไว้ในท้ายบทเทศน์มิสซาเพื่อการเลือกตั้งพระสันตะปาปาว่า “ขอพระจิตประทานพระสันตะปาปาองค์ใหม่ที่สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้า เพื่อความดีของพระศาสนจักรและมวลมนุษยชาติ ขอให้พระเจ้าประทานพระสันตะปาปาที่สามารถปลุกจิตสำนึก และพลังศีลธรรมในสังคมยุคใหม่ที่กำลังลืมพระเจ้าด้วย”

*** พระสันตะปาปาพระองค์ใหม่ คือ สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 ***

วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ยอมรับในความอ่อนแอบ้าง

 

ยอมรับในความอ่อนแอบ้าง

>>> การยอมรับหาใช่พ่ายแพ้ แต่คือการอ่อนน้อมเพื่อปรับเปลี่ยน <<<

หลายฝ่ายต่างออกมาบอกว่าปีนี้จะเป็นปีที่เราต้องระมัดระวังตัวเองกันให้ดี ๆ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ กำแพงภาษี ที่กำลังถาโถมใส่กันจนจะกลายเป็นสงครามการค้าไปแล้ว ไหนจะมีเรื่องภัยธรรมชาติ เกิดถี่จนน่ากลัวว่าเราจะอยู่กันอย่างไร? แต่ก็นั่นแหละ เราอยู่ในโลก เราก็ต้องยอมรับความเป็นไปและปรับตัวเองให้ได้อย่าไปจมอยู่กับวันวานที่ผ่านมา อย่าจมอยู่กับความสำเร็จในอดีต เพราะมันอาจจะฉุดรั้งเราให้ถอยหลัง ใช่หรือไม่ วันคืนผ่านมาเราอาจจะแข็งแกร่ง มาวันนี้เราอาจจะต้องยอมให้คนเปลี่ยนเสื้อผ้า ผูกสายรองเท้า พยูงเราเดิน นี่แหละชีวิตจริง น้อมรับปรับตัวให้เป็น การรู้ว่าเรายืนอยู่ตรงไหนเป็นสิ่งจำเป็นก่อนที่เราจะก้าวไปที่อื่นได้ นี่คือธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

มีเรื่องเล่าของขอทานคนหนึ่งที่ฝันอยากเป็นเศรษฐี เขาใช้ชีวิตวันต่อวันด้วยการขอทาน พร้อมกับฝันถึงวันที่จะมีบ้านหลังใหญ่และรถยนต์หรู แต่กลับไม่เคยก้าวพ้นสภาพขอทานได้ จนกระทั่งวันหนึ่ง เขานั่งดูเงาของตัวเองในน้ำและยอมรับอย่างเต็มที่ว่า “ฉันเป็นขอทาน” และเริ่มถามตัวเองว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

เมื่อเขาตรวจสอบชีวิตอย่างซื่อสัตย์ เขาพบว่านิสัยการคิดและพฤติกรรมของเขาคือต้นเหตุ ไม่ใช่โชคชะตาที่เขามักโทษ เขาพบว่าตัวเองใช้เงินที่ขอมาได้หมดในวันเดียวโดยไม่เคยเก็บออม ไม่เคยคิดวางแผนระยะยาว และไม่เคยพัฒนาทักษะใด ๆ

เมื่อยอมรับความจริงนี้ เขาเริ่มปรับเปลี่ยนทีละเล็กทีละน้อย เขาเก็บเงินบางส่วนที่ได้มา ฝึกงานช่างไม้ง่าย ๆ จนสามารถทำเฟอร์นิเจอร์เล็กๆ ขายได้ จากการขอเงินคนอื่นเป็นการหาเงินด้วยตัวเอง จากการใช้จนหมดเป็นการเก็บออม จากการทำเพื่ออยู่รอดไปวัน ๆ เป็นการวางแผนระยะยาวสิบปีต่อมา เขากลายเป็นเจ้าของร้านเฟอร์นิเจอร์เล็กๆ แต่มั่นคง ไม่ใช่เศรษฐีในความฝัน แต่ไม่ใช่ขอทานในความจริงอีกต่อไป  (ปรัชญาแห่งดาบ)

        เราทุกคนย่อมคิดว่า มาถึงวันนี้ได้ เราก็ไม่ธรรมดา และเพราะความคิดนี้เราจึงหลงและติดกับดักของชีวิต ที่ทำให้เราไม่สามารถก้าวไปทางไหนได้ ทำไมการยอมรับความจริงจึงยากนักเล่า? ความกลัว คือ คำตอบ ความกลัวการยอมรับความจริงฝังรากลึกลงในจิตใจมนุษย์ เหมือนกับตอนที่เราส่องกระจก และเห็นริ้วรอย เห็นฝ้า เห็นข้อบกพร่อง รับความจริงไม่ได้ จึงต้องหาอะไรมาปกปิด ไปแต่งเติม เปลี่ยนแปลงให้ดูดีในสายตาคนอื่น เรากลัวที่จะไม่เป็นที่ยอมรับของคนอื่น การยอมรับความจริงไม่ใช่การพ่ายแพ้ แต่เป็นการชนะความกลัว ชนะการหลอกตัวเอง ยิ่งเรากล้าเผชิญหน้ากับความจริงมากเท่าไร พลังในการเปลี่ยนแปลงก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น คนที่กล้ายอมรับข้อบกพร่องของตัวเอง คือ คนที่พร้อมเติบโตมากที่สุด ซึ่งมีสิ่งหนึ่งที่มาพร้อมกัน คือ ความอดทน รู้จักผ่อนรู้จักพัก

ความอดทนไม่ใช่การรอคอยอย่างเฉยเมย แต่ต้องปฏิบัติตนอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่หวังผลให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เข้าใจในวาระของพระเจ้าที่จะมอบให้เรา น้อมรับว่าสั้นยาวมิอาจจะเปรียบได้กับวันเวลาในโลกนี้ เราต้องยอมรับว่านิสัยที่สั่งสมมานานไม่อาจเปลี่ยนในเวลาอันสั้น แต่การเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นได้จริงหากเรายืนหยัดในหนทางธรรม สิ่งเหล่านี้มิใช่ทำครั้งเดียวก็จะเกิดผล ฝึกฝน เรียนรู้ อดทน สังเกต แล้วเราก็จะพบกับหนทางเฉพาะตัวเรา

เมื่อเราเปลี่ยนแปลงแล้ว เราก็ต้องยอมรับสิ่งใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา นี่คือการก้าวสู่การเข้าใจตนเองและโลกให้ลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาลเวลาที่ติดตามตัวเรามา เราจะพบว่าชีวิตเปลี่ยนไปอย่างลึกซึ้งและยั่งยืน ไม่ใช่การเปลี่ยนอย่างฉาบฉวยหรือเป็นไปตามกระแส แต่เป็นวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณที่เกิดจากความเข้าใจตัวเอง และนำไปสู่สันติสุขท่ามกลางวันเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยมีพระเจ้าอยู่เคียงข้างพยูงเราไปในทุก ๆ ที่ตลอดการเดินทาง.....