มีพลังบางอย่าง
>>> พลังความเชื่อต้องได้รับการชาร์จเสมอ ๆ <<<
สภาพสังคมในปัจจุบัน
มือถือกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย กลายเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นต่อการดำเนินชีวิต
ลองสังเกตดูวันไหน แบตเตอรี่หมด เราก็จะกุลีกุจอหาปลั๊กไฟ
หาที่ชาร์จอย่างกระตือรือร้น หากไม่มีพลังไฟในมือถือชีวิตนี้จะจบสิ้น และต่อมา คือ คลื่นสัญญาณ ต้องเต็มต้องมีไวไฟ
ไม่เช่นนั้นทำอะไรไม่ได้ เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมาจำต้องเดินทางไปแม่สอด
ไปในหมู่บ้านที่ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีคลื่นสัญญาณโทรศัพท์ใด ๆ
กลับทำให้มีเวลาชื่นชมสิ่งรอบตัว ลำธารใส ให้อาหารปลาที่ว่ายมาล้อเล่นเป็นฝูง เป็นเหมือนได้เพิ่มพลังภายในให้ลุกโชนขึ้นมา
ถ้าโลกภายในเราแกร่งพอ ไม่ว่าจะเจออะไร เลวร้ายแค่ไหนก็น้อมรับได้กับทุกสถานการณ์ เริ่มจากการรู้จักคุณค่าในตัวเองและเชื่ออย่างสุดใจว่า “เราเข้มแข็งพอ” ที่จะก้าวข้ามทุกปัญหาได้ ไม่ว่าจะสูญเสียอะไร แต่สิ่งที่เราต้องประคับประคองไว้ให้ได้ คือ “ใจ” และ “พลังบวก” อย่าให้ใครสิ่งใดมาลดทอนสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่ อย่าให้ใครมีอิทธิพลกับความรู้สึก หรือ สูญเสียการทรงตัวเพียงเพราะใครบางคนมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเรา ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามที่มันควรจะเป็น ดังน้ำในลำธารนั้นที่ไหลพร้อมกับความร่มเย็น
แน่ล่ะ
เราหนีความทุกข์ใจไม่ได้ แต่อย่ามัวจมอยู่ในกองทุกข์ เฝ้าทอดถอนหายใจ กักขังตัวเอง
เราจำเป็นต้องรู้จักเปลี่ยนแปลงความทุกข์ ให้เป็นพลังสร้างสรรค์ สิ่งนี้ทำได้ไม่ง่ายนัก เพราะต้องอาศัยพลังความเชื่อมั่นในการรวบรวมกำลังใจ
ทำไม่ง่าย ก็ไม่ได้แปลว่าทำไม่ได้ ใช้ความทุกข์ให้เป็นจุดเปลี่ยน หล่อหลอมตัวตนด้วยพระวาจา
ให้กลายเป็นคนที่แข็งแรงกว่าเดิม ถึงแม้วันหนึ่งเราอาจจะพลาดพลั้งจนหมดพลังใจพลังกายในการดำเนินชีวิต
ให้อภัยตัวเอง รวบรวมกำลังลุกขึ้นอีกครั้ง มองหาอะไรบางอย่าง ที่จะเป็นสารตั้งต้นให้เราก้าวหน้าต่อไปในองค์พระผู้เป็นเจ้า
ผู้ทรงเป็นองค์ความรัก…