วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

มีพลังบางอย่าง

 

มีพลังบางอย่าง

>>> พลังความเชื่อต้องได้รับการชาร์จเสมอ ๆ <<<

สภาพสังคมในปัจจุบัน มือถือกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย กลายเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นต่อการดำเนินชีวิต ลองสังเกตดูวันไหน แบตเตอรี่หมด เราก็จะกุลีกุจอหาปลั๊กไฟ หาที่ชาร์จอย่างกระตือรือร้น หากไม่มีพลังไฟในมือถือชีวิตนี้จะจบสิ้น และต่อมา คือ คลื่นสัญญาณ ต้องเต็มต้องมีไวไฟ ไม่เช่นนั้นทำอะไรไม่ได้ เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมาจำต้องเดินทางไปแม่สอด ไปในหมู่บ้านที่ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีคลื่นสัญญาณโทรศัพท์ใด ๆ กลับทำให้มีเวลาชื่นชมสิ่งรอบตัว ลำธารใส ให้อาหารปลาที่ว่ายมาล้อเล่นเป็นฝูง เป็นเหมือนได้เพิ่มพลังภายในให้ลุกโชนขึ้นมา


ถ้าโลกภายในเราแกร่งพอ ไม่ว่าจะเจออะไร เลวร้ายแค่ไหนก็น้อมรับได้กับทุกสถานการณ์ เริ่มจากการรู้จักคุณค่าในตัวเองและเชื่ออย่างสุดใจว่า “เราเข้มแข็งพอ” ที่จะก้าวข้ามทุกปัญหาได้ ไม่ว่าจะสูญเสียอะไร แต่สิ่งที่เราต้องประคับประคองไว้ให้ได้ คือ “ใจ” และ “พลังบวก” อย่าให้ใครสิ่งใดมาลดทอนสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่ อย่าให้ใครมีอิทธิพลกับความรู้สึก หรือ สูญเสียการทรงตัวเพียงเพราะใครบางคนมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเรา ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามที่มันควรจะเป็น ดังน้ำในลำธารนั้นที่ไหลพร้อมกับความร่มเย็น

แน่ล่ะ เราหนีความทุกข์ใจไม่ได้ แต่อย่ามัวจมอยู่ในกองทุกข์ เฝ้าทอดถอนหายใจ กักขังตัวเอง เราจำเป็นต้องรู้จักเปลี่ยนแปลงความทุกข์ ให้เป็นพลังสร้างสรรค์  สิ่งนี้ทำได้ไม่ง่ายนัก เพราะต้องอาศัยพลังความเชื่อมั่นในการรวบรวมกำลังใจ ทำไม่ง่าย ก็ไม่ได้แปลว่าทำไม่ได้ ใช้ความทุกข์ให้เป็นจุดเปลี่ยน หล่อหลอมตัวตนด้วยพระวาจา ให้กลายเป็นคนที่แข็งแรงกว่าเดิม  ถึงแม้วันหนึ่งเราอาจจะพลาดพลั้งจนหมดพลังใจพลังกายในการดำเนินชีวิต ให้อภัยตัวเอง รวบรวมกำลังลุกขึ้นอีกครั้ง มองหาอะไรบางอย่าง ที่จะเป็นสารตั้งต้นให้เราก้าวหน้าต่อไปในองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงเป็นองค์ความรัก

วันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

สร้างสรรค์สุข

 

สร้างสรรค์สุข

>>> หนึ่งชีวิตเราทุกคนย่อมมีห้วงเวลาแห่งความสุขด้วยกันทั้งนั้น >>>

            ขอส่งกำลังใจให้กับคนที่มีความทุกข์อยู่ในขณะนี้ และบังเอิญได้มาพบมาอ่านเรื่องราวในลายลักษณ์อักษรเหล่านี้ อีกไม่นานหรอก ความทุกข์มันจะผ่านไป หรือไม่ก็ลองหาความสุขในความทุกข์นั้นเสียเลย สร้างสรรค์ขึ้นมา และหันไปมองรอบ ๆ ตัวเรา จดจำไว้ว่า ไม่มีใครทุกข์ตลอดไป และเช่นกันความสุขก็มิได้เป็นนิรันดร์ ในแต่ละช่วงเวลา ทั้งสองอย่างปะปนกันไป เพียงแค่เราจะนำมาปรับปรุง แต่งแต้มให้ชีวิตเรางดงามหรือหม่นหมอง ก็เท่านั้นเอง

ใช่หรือไม่ ความสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนาและแสวงหาในชีวิต แต่ละคนอาจมีนิยามความสุขที่แตกต่างกันไป บางคนอาจพบความสุขในสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในวิถีชีวิตประจำวัน ในขณะที่มีบ้างบางคนอาจมองหาความสุขจากความสำเร็จหรือความสมหวังในหน้าที่การงาน แท้จริง ความสุขเป็นสภาวะทางอารมณ์ที่ทำให้เรารู้สึกพึงพอใจ สบายใจ และมีความสะดวกสบาย ง่ายต่อการดำเนินชีวิต ความสุขอาจจะเกิดขึ้นได้จากหลากหลายปัจจัย เช่น ความสัมพันธ์ที่ดี การทำงานที่ชอบ สุขภาพที่ดี หรือแม้แต่การได้ทำในสิ่งที่รัก



ความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัว เพื่อน มิตรสหาย และคนรักเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุข การมีคนที่เข้าใจและสนับสนุน ช่วยให้เรารู้สึกไม่โดดเดี่ยวเกินไปบนโลกใบนี้ การมีสุขภาพที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจก็เป็นพื้นฐานของความสุข การออกกำลังกายให้สารแห่งความสุขหลั่งออกมา การรับประทานอาหารที่ดี และการนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดี ในด้านการทำงานที่ตัวเองทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด สนุกกับมัน รักหรือมีความสุขกับการทำงาน ช่วยให้เรารู้สึกมีคุณค่าและเติมเต็ม เติบโตในชีวิต การให้ความช่วยเหลือหรือแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้กับผู้อื่น สามารถสร้างความสุขให้กับเราได้เช่นกัน การมองโลกในแง่ดี การมีทัศนคติที่ดีต่อชีวิตและการมองหาข้อดีในทุกสถานการณ์ช่วยให้เรารู้สึกมีความสุขมากขึ้น

การสร้างสรรค์สุขในชีวิตแบบง่าย ๆ ฝึกขอบคุณ การขอบคุณในสิ่งที่เรามีช่วยให้เรามองเห็นคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว การใช้เวลากับคนที่เรารัก เวลานั้นต้องมีคุณภาพ ให้กับครอบครัวและเพื่อนฝูงช่วยสร้างความสุขและความทรงจำที่งดงาม ทำในสิ่งที่รัก การทำกิจกรรมที่เราชอบหรือมีความสุขช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข สวดภาวนาอยู่กับพระเจ้าในตัวเอง ช่วยให้เรามีสติและจัดการกับความเครียดได้ดีขึ้น ความสุขไม่ใช่สิ่งที่เราต้องตามหาหรือไกลตัวเรา แต่เราสามารถสร้างความสุขได้จากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน การเข้าใจและตระหนักถึงสิ่งที่มีอยู่รอบตัวเรา รวมถึงการดูแลตัวเองและคนรอบข้าง ช่วยให้เรามีความสุขที่ยั่งยืนและเติมเต็มในชีวิต

บางทีกระแสแห่งโลกก็ทำให้เราหลงลืมที่จะมีความสุขกับวันเวลา กับสิ่งรอบตัว เพราะมัวแต่เฝ้ากังวลกับระบบเศรษฐกิจ เฝ้าวิตกกับการมีตัวตน ตำแหน่ง มุ่งแสวงหาความสุขจอมปลอมภายนอก เอาไว้โอ้อวดกัน เพราะคิดถึงแต่อาณาจักรแห่งตน ไม่สนใจอาณาจักรพระเจ้า และเสริมสร้างให้เข้มแข็ง เราอาจจะเป็นคนหนึ่งที่หลงไปว่าความสุข คือ การมีทุกสิ่ง โดยหารู้ไม่ว่าทุกสิ่งที่มีนั้น คือ ความสุขที่แท้จริง ที่พระเจ้าประทานให้เรามาตั้งแต่ลืมตาดูโลกใบนี้

วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

ที่สุดของแสงสว่าง

 

ที่สุดของแสงสว่าง

>>> มาตรฐานของคนอื่นอาจจะไม่ใช่ที่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น <<<

เรากำลังก้าวสู่ความเสมือนจริงในทุก ๆ ด้าน ความจริงเริ่มหายไปเพราะเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ เข้ามามีบทบาท เป็นการรวบรวมข้อมูลแล้วสังเคราะห์สรุปออกมา จะเป็นความจริงหรือไม่ เครื่องไม่มีสามารถบอกเราได้ ความเสมือนจริงกำลังถูกสร้างเป็นมาตรฐานจริง ที่ไร้ชีวิตไร้จิตวิญญาณ ทั้งหลายทั้งปวง โลกในอนาคตก็จะใช้มาตรฐานเสมือนจริงเป็นเครื่องมือแข็งขันกัน ใช่หรือไม่แค่วันนี้เรายังใช้มาตรฐานของใครของมันตัดสินคนนั้นคนนี้กันอยู่....

ฉะนั้นแล้วเรามาฝึกที่อย่าได้ใช้มาตรฐานของเราในการไปตัดสิน เรียกร้องผู้คนและเรื่องราวที่เราเห็นแล้วไม่ถูกจริตไม่ถูกใจเรา เพราะว่าพระเจ้าสร้างเราแต่ละคนให้เติบโตมาด้วยประสบการณ์และวิถีทางที่แตกต่างกัน ผู้คนและเหตุการณ์ที่เราไม่ชอบ จะอย่างไรวันหนึ่งที่ต้องพบเจอ การตัดพ้อ โกรธเกรี้ยว บ่นว่ากล่าวกัน นอกจากจะทำร้ายตนเอง ทำร้ายผู้อื่น ทำลายจิตวิญญาณของเราให้ตกต่ำลงไปแล้ว ก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาแต่อย่างใด เราต้องพยายามเรียนรู้ที่จะเข้าในในทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะได้ช่วยเปิดประตูบานใหญ่ไปสู่แสงสว่าง ที่มีปลายทาง คือ ความเมตตา เราต้องไม่ไปอย่าก้าวก่ายชีวิตใคร ถ้าเขาไม่ได้ร้องขอ “เพียงรับฟัง” คือทางที่ดีที่สุด ไม่ตัดสิน ไม่บงการ ไม่ตำหนิ                                                                                  

การแสดงความเห็นนั้นไม่ผิด แต่การตัดสินในทุกเรื่องโดยใช้มาตรฐานของตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่ควารจะทำ เพราะว่าแต่ละคนผ่านโลกมาไม่เหมือนกัน จึงไม่แปลกที่ความคิด มุมมองทัศนคติที่มีต่อปัญหาจะต่างกัน ปัญหาของใครสุดท้ายเขาต้องเลือกเอง เคารพการตัดสินใจของคนอื่น คือมารยาทขั้นพื้นฐานที่เราควรจะมี ในโลกใบนี้ไม่มีความสมบูรณ์แบบที่ปราศจากความบกพร่อง อยู่ที่ใช้มาตรฐานใด อยู่ที่มองเห็นหรือไม่ ที่สำคัญหากขาดความบกพร่องความสมบูรณ์แบบนั้นก็ไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบ


ในโลกที่มีสองด้านสองมุม ความสมบูรณ์มักจะเดินคู่เคียงไปกับความบกพร่อง เพราะเป็นการเปรียบกัน สวยกับขี้เหล่ ชอบกับเกลียด โง่กับฉลาด แข็งแรงกับอ่อนแอ ล้วนเป็นเรื่องปกติแห่งความจริงที่ทำให้เราเข้าใจโลก และเติบโตอย่างเข้มแข็ง เป็นที่สุดแสงสว่างในชีวิตเรา ใครบางคน “เกลียดเรา” ก็ไม่ได้แปลว่า เราจะแย่ ใครบางคน “ดูถูกเรา” ไม่ได้แปลว่า เราห่วย ใครบางคนเ “ไม่รักเรา” ไม่ได้แปลว่า เราไม่ดีพอ ใครบางคน “ถอยห่างเราไป” ไม่ได้แปลว่า เราไม่มีค่า อย่าใช้การกระทำของใครมาเป็นมาตรฐานตัดสินตัวเรา แต่ละคนมีสิทธิ์คิด เราก็มีสิทธิ์ของเรา คนอื่นก็มีสิทธิ์ของเขา เพราะพระเจ้าให้ความแตกต่างเพื่อให้เราไตร่ตรองชีวิต อย่าให้ใครมาลดทอนคุณค่าในตัวเรา และเราก็อย่าไปด้อยค่าคนอื่นด้วยเช่นกัน


สิ่งที่กำหนด ชีวิตของเราจะมีความสุขหรือไม่มีความสุขก็ขึ้นอยู่กับมุมมอง ความดีอาจมีองค์ประกอบไม่ดี และอาจมี องค์ประกอบดี ในสิ่งที่ไม่ดีก็เป็นไปได้ ดังนั้น เราจึงควรมีทัศนคติแง่บวก มองด้านดีของทุกสิ่ง และคิดดีในทุก ๆ ด้าน ทัศนคติ ที่ดีและมองโลกในแง่ดี เรื่องที่ไม่ดีก็จะกลับกลายเป็นเรื่องที่ดี เพราะดวงตาเรามองตรงไปยังเจตจำนงความรอดที่พระประทาน และนี่คือที่สุดของแสงสว่างส่องนำทางชีวิตเรา