วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2567

กลับด้าน

 

กลับด้าน

>>>  เราล้วนอยากจะเป็นที่หนึ่ง จึงต้องเอาชนะทุกผู้คน จนลืมที่จะเอาชนะตัวเอง  <<<

            เช้าวันหนึ่งแหงนหน้ามองท้องฟ้า เห็นปุยเมฆเป็นปุยเล็ก ๆ ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า ผ่านไปไม่นานท้องฟ้าก็แปรเปลี่ยนเริ่มขมุกขมัว กลายเป็นฟ้าที่พร้อมจะเทฝนลงมา บางทีในชีวิตเราก็มักพบเจอกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเช่นนี้ ชนิดที่เรียกว่ากลับด้านเลยทีเดียว เช่น คนที่ยึดมั่นความซื่อตรง ความซื่อสัตย์ในหน้าที่ ไม่คดโกงก็มักจะกลายเป็นคนไม่มีเพื่อน กลายเป็นคนที่ถูกเมิน เพราะเราล้วนถูกปลูกฝังมาให้เป็นที่หนึ่งเสมอ ค่านิยมนับถือคนที่ตำแหน่งแห่งหน ที่ความเด่นดัง จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อความเป็นที่หนึ่ง แต่เชื่อเถอะ พอไม่ได้อยู่บนตำแหน่งที่หนึ่งแล้วก็มักไปต่อกันไม่เป็น...


บริษัทโฆษณาแห่งหนึ่งรับสมัครเด็ก ๆ เข้ามาทดสอบการแสดง และบอกให้เด็กแต่ละคนขึ้นไปยืนบนโพเดียมที่มีตำแหน่งที่หนึ่ง ที่สอง และที่สาม  เด็ก 81 % ที่มาเลือกยืนบนตำแหน่งที่หนึ่ง นักจิตวิทยาหนึ่งในทีมงานถามว่า “เพราะอะไรจึงเลือกไปยืนบนตำแหน่งที่หนึ่ง

คำตอบที่ได้ “แม่บอกว่าถ้าได้ที่หนึ่ง แม่จะซื้อลูกหมาให้หนูค่ะ”... “ถ้าได้ที่หนึ่ง ผมจะมีความสุขที่สุดครับ เพราะแม่จะกอดผม จุ๊บผมด้วยครับ” ... “แม่จะรักผม ถ้าผมได้ที่หนึ่ง” แล้วถ้าไม่ได้ที่หนึ่ง คำถามต่อมาถูกส่งไปให้เด็ก ๆ “ผมจะเศร้า ที่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง” “แย่เลยครับ บางทีพ่อแม่ก็บอกว่าไม่ได้ที่หนึ่ง จะทำโทษให้ไปนอนนอกห้อง” “คงเศร้ามาก ถ้าพยายามเต็มที่แต่ไม่ประสบความสำเร็จ กลัวแม่จะเสียใจ”

เด็ก ๆ บอกว่าที่อยากเป็นที่หนึ่งเพราะพ่อแม่ของพวกเขาคาดหวังไว้ เมื่อเด็กถูกถามว่า ถ้าเป็นตัวเองคิดเองจะอยากได้ที่เท่าไหร่.. เด็กส่วนใหญ่เลือกยืนบนที่สอง  “ผมชอบที่สองมากกว่า ถ้าเอาจริง ๆ มันไม่ต้องคาดหวังกดดันตัวเองมาก .. ถึงไม่ได้ที่หนึ่ง ผมคิดว่ามันก็จะทำให้ผมพยายามขึ้น ไม่ยอมแพ้ครับ .. และถ้าผมเคยพลาด ผมก็จะได้รู้ว่ามันเป็นยังไง... “หนูอยากได้ที่ 2 นะคะ ไม่เครียดดี แถมได้เรียนรู้จากคนที่เก่งกว่าและจะได้พยายามมากขึ้นไปอีกด้วยค่ะ”

บางครั้งการเป็นผู้ชนะก็อาจจะไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นที่หนึ่งเสมอไป การเป็นผู้ชนะ คือ การที่เรายอมรับ เข้าใจ เอาชนะใจตัวเองได้ ความสำเร็จไม่ได้วัดที่ลำดับ แต่มาจากการปรับตัวอย่างเหมาะสมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต การสั่งสอนปลูกฝังเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้สังคมกลับมาสู่สันติ แข่งขันกันทำดีย่อมดีกว่าแข่งขันกันทำเพื่อตัวเอง

วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2567

โลกที่มากกว่าสองด้าน

 

โลกที่มากกว่าสองด้าน

>>> ทุกคนล้วนมีโลกด้านของตัวเองอย่างเหนียวแน่น เราจึงอยู่ในโลกหลากหลายด้าน<<<

 ก่อนอื่นใดทั้งปวงขอเชิญพวกเราร่วมแรงร่วมใจ ส่งความห่วงใยไปยังพี่น้องที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์น้ำท่วม เฉพาะอย่างยิ่งที่แม่สาย และหลายพื้นที่ในจังหวัดเชียงราย ที่ได้รับผลกระทบหนัก เมื่อหลายวันที่ผ่านมามวลน้ำเข้าท่วมพื้นที่อย่างรวดเร็ว ทำให้มีผู้ป่วยติดเตียง คนชรา ติดอยู่ในบ้าน รอความช่วยเหลือ และมีผู้คนที่บ้านเรือนถูกน้ำท่วมขังอีกหลายครอบครัว อย่างน้อย ๆ คำภาวนาของเราคงพอจะเป็นกำลังใจให้กับพวกเขาเหล่านั้นได้บ้าง และถ้าเราช่วยทางด้านสิ่งของได้ก็ช่วยไปนะพี่น้อง ช่วยบรรเทาทุกข์กันและกัน ในขณะเดียวกันเราก็ต้องเตรียมรับกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในวันข้างหน้า ด้วยการดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาท เรียนรู้โลก เรียนรู้ชีวิตในหลากหลายด้าน

การดำเนินชีวิตของแต่ละคนย่อมต้องพบเจอกับเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย บางเรื่องอาจทำให้เรามีความสุข มีบ้างบางเรื่องกลับทำให้เรามีความทุกข์ ด้านหนึ่งเป็น “ด้านบวก” ที่ส่งผลทำให้จิตใจมีพลัง กระชุ่มกระชวย นำมาซึ่งความสุขของชีวิต  ขณะที่ด้านหนึ่งเป็น “ด้านลบ” ที่ส่งผลให้จิตใจของเราหดหู่ เหี่ยวเฉา และเบื่อหน่ายไปกับการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ยิ่งเห็นคนนั่นคนนี่อวดอ้างความสำเร็จบนหน้าโซเซียล ยิ่งด้อยค่าตัวเองลงไปมาก โดยที่หารู้ไม่สิ่งที่เราเห็นมีความจริงเพียงเศษเสี้ยวเดียว ไม่มีใครจะโชว์ความเป็นตัวเอง อวดอ้างความจริงได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ มันยังมีอีกหลากแง่มุมที่เรามิได้สัมผัสถึง

ในอดีตช่องทางการสื่อสารในวงกว้างถูกจำกัดอยู่ในกลุ่มแคบ ๆ อยู่แค่ในทีวี หนังสือพิมพ์ วิทยุ เรื่องราวทุกอย่างถูกถ่ายทอดจากมุมมองของคนเพียงกลุ่มเดียว เป็นการสื่อสารทางเดียว ไม่มีพื้นที่ให้คิดว่าสิ่งที่ได้ยินได้เห็นได้อ่านมานี่ใช่ความจริงหรือไม่ แต่...เมื่อโลกเปลี่ยนไป ทุกวันนี้ใครอยากบอกอะไรให้โลกรู้ ก็มีช่องทางมากมาย แค่โทรศัพท์เครื่องเดียวก็เกินพอ ทำได้ทันที เรื่องราวมาจากหลายมุมมอง เชื้อชาติ วัฒนธรรม ก็เริ่มเกิดคำถามว่า “แล้วจริงที่สุด คืออะไร” เรื่องเดียวกันเมื่อต่างคนต่างเล่าจึงไม่เหมือนกัน จึงเกิดการถกเถียงกัน

การถกเถียงด้วยเหตุผลก็เป็นอีกทักษะที่สำคัญ ในปัจจุบันแทบทุกอย่างมีพื้นที่ให้แสดงความเห็น จะมาเอากำปั้นทุบโต๊ะแล้วบอกว่า “เชื่อฉัน มันต้องเป็นแบบนี้” ไม่ได้แล้ว บนโลกออนไลน์ไม่มีใครเกรงใจใคร ความเห็นที่อ่อนแอ ข้าง ๆ คู ๆ ก็แพ้ไป แล้วรู้ได้ยังไงว่าอะไรจริง อะไรปลอม? บางเรื่องอาจมีความจริงเพียงหนึ่งเดียว แต่หลากหลายความคิดเห็น จริงของเขา กับจริงของเรา อาจจะไม่มีความจริงเลยก็ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นกับการตีความ สิ่งที่เราทำได้ก็คือค้นหาเสาะแสวงหาความจริง และไม่ยึดติดกับบุคคล ไม่ลืมว่าทุกคนก็เป็นคน มีผิดพลาดกันได้ ใช่หรือไม่ การลองรับความเห็นที่ต่างออกไปอาจจะเปิดโลกทัศน์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ การตั้งใจรับฟัง ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แค่เป็นผู้รับสารที่ดี แล้วเอาไปคิด ไปไตร่ตรอง ครองชีวิตให้อยู่ในหนทางความดีงาม ปรับตัวให้ทันโลก รับข่าวสารข้อมูลด้วยการเห็นโลกหลากหลายมุม

ทุกคนคงจะหนีความจริงไม่ได้ ความจริงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นควรจะเผชิญหน้ากับความจริง ยอมรับในฐานะความเป็นอยู่ ยอมรับในความสามารถของตัวเอง ยอมรับในเหตุการณ์หรือสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ย่อมผ่านมาและก็ผ่านไป อย่าพยายามยึดติดกับสิ่งนั้น เพราะการยึดติดจะทำให้มีแต่ความทุกข์ การยึดติดนั้นจะรวมความถึงการคิดถึงแต่เรื่องนั้น ๆ อยู่ตลอดเวลา ทำให้เราพลาดโอกาสที่จะเห็นความงามของสิ่งต่าง ๆ ไปได้ ความงามในการเห็นอกเห็นใจ ความงามในความสงสาร ความงามในการช่วยเหลือกันแบบไม่หวังผลตอบแทน รู้สึกดีใจเมื่อเห็นคนอื่นมีความสุข

ในตัวเรานั้นมี “ด้านพระ” กับ “ด้านผี” อยู่ด้วยกันทุกคน วันนี้เราเอาด้านพระออกมาให้มาก ให้ความรัก ความเมตตาอารีต่อกันโดยไม่ต้องหวังอะไร เป็นการนำด้านพระออกมาให้คนทั่วไปได้มองเห็น ใครจะวิพากษ์วิจารณ์เช่นไรก็อย่าใส่ใจ เพราะโลกวันนี้มันมีหลายด้าน ทำชีวิตด้านพระของเราให้สมบูรณ์เต็มที่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว