ปิดตา ปิดหู บังใจ
เคยถามตัวเองอยู่บ่อยๆว่า วันนี้ชีวิตมีความสุขดีไหม??? คำตอบในหลายวันมีเสียงก้องมาจากภายในว่า วันนี้แสนเซ็ง วันนี้ไม่มีความสุขเอาเสียเลย เบื่อๆมึนๆงงๆมองเห็นคนรอบข้างแล้วก็พลอยหงุดหงิด อารมณ์เสีย นานๆจึงจะได้ยินเสียงเล็ดลอดอันแผ่วเบาแว่วมาว่า วันนี้แสนยินดีปรีดา มีความสุขหรรษา และเคยคิดต่อไปว่า ยิ่งโตความสุขของเรายิ่งลดลงจริงหรือเปล่า!!! ยิ่งใหญ่ความหรรษายิ่งห่างหายไปไหนหมด ก็ไม่รู้ หรือว่าเราวัดความเติบใหญ่แห่งวัยตรงใครเคร่งเครียดกว่ากันมองเห็นเด็กๆวิ่งเล่น ซุกซน ช่างพูดช่างเจรจา ช่างซักช่างถาม โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ก็รู้สึกว่าการเป็นเด็กนี่ช่างมีแต่ความสุขจริงๆ โลกเต็มไปด้วยความงดงาม ไม่อยากให้พวกเขาเติบโตขึ้นเลย เพราะเสียดายความสุขแห่งวันวัย
มีอยู่วันหนึ่งเรื่องราวร้อยพันประการที่สุมหัว เรื่องราวร้อยแปดที่ดันแบกเอาไว้เต็มหลัง จนไหล่ลู่ โดยไม่ยอมปลดปล่อยให้อยู่ในที่ที่ของมัน และนำติดตัวกลับมาบ้านเสียอีก พาลทำให้เกิดอารมณ์หงุดหงิด จึงคิดอยากอยู่เงียบๆคนเดียว แต่หลานตัวน้อยที่บ้านไม่ยอมให้ความเงียบมาทำลายบรรยากาศ แอบย่องๆขึ้นมาเมียงมอง พอหันไปหาก็ทำเป็นแอบ คิดว่าเรามองไม่เห็น และก็ค่อยๆเขยิบเข้ามาใกล้ๆยามเบือนหน้าหนี พอใกล้ถึงตัวก็แกล้งหันกลับไปอีกครั้ง เจ้าหลานตัวน้อยไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลยเอามือปิดตา คงคิดว่าเมื่อเค้ามองไม่เห็นเรา เราก็คงไม่มองไม่เห็นเค้า ก็อดที่จะยิ้มและหัวเราะออกมาไม่ได้ ทำให้ความเครียดลดลงไปโดยกะทันหัน ไม่ต้องพึ่งพายาชนิดใด ใจก็โบยบินคิดไปถึงนิทานเรื่องหนึ่งที่เล่าไว้ว่า....
ในอดีตกาล มีชายผู้หนึ่งที่ทั้งเหลวไหลและเห็นแก่ตัว นอกจากนั้นยังมีนิสัยชอบเอาเปรียบผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด ถ้าตนอยากได้จะต้องพยายามคิดหาวิธีการต่างๆ นานา เพื่อให้ของสิ่งนั้นมาอยู่ในมือของตัวเอง แม้ว่าจะเป็นวิธีการผิดๆ อย่างเช่น การขโมย แอบยิบฉวยมาเฉยๆ ก็ตาม
ครั้งหนึ่ง ชายผู้นี้เกิดถูกใจกระดิ่งลมที่แขวนอยู่บริเวณประตูกลางของบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นกระดิ่งที่ทำขึ้นอย่างประณีตงดงามยิ่ง ทั้งยังมีเสียงที่ไพเราะ ดังกังวาน เขาจึงคิดหาวิธีการที่จะเอากระดิ่งใบนี้มาเป็นของตน จนแล้วจนรอดก็หาวิธีอื่นไม่ได้ สุดท้ายจึงตัดสินใจว่าจะขโมย แต่กระนั้นเขายังเป็นกังวล คิดไม่ตก เนื่องจากทราบมาว่า หากใครเพียงเอามือไปโดน กระดิ่งต้องส่งเสียงดัง เช่นนั้นแล้วย่อมถูกผู้คนพบเห็นได้โดยง่าย ว่าเขากำลังกระทำการมิชอบ
ครานั้น ชายผู้นี้พลันคิดแผนการหนึ่งขึ้นมาได้ เขาคิดว่าหากใช้วิธีปิดหูตัวเองไม่ให้ได้ยินเสียงกระดิ่ง ก็แสดงว่ากระดิ่งนั้นไม่ส่งเสียง เท่านั้นยังไม่พอต้องปิดตาตัวเองด้วย เพื่อไม่ให้คนทราบว่ามีการขโมยเกิดขึ้น ดังนั้นเขาจึงตกลงใจใช้วิธีที่คิดว่าฉลาดแล้วนี้ โดยในค่ำวันนั้น เขาได้ลอบไปที่บ้านเจ้าของกระดิ่ง แต่โชคไม่ดีที่กระดิ่งอยู่สูงเกินไป ไม่สามารถหยิบฉวยได้โดยง่ายสุดท้ายจึงต้องยอมรามือชั่วคราว
เขาคิดว่าจะชวนเพื่อนบ้านที่หูหนวกไปช่วยขโมยกระดิ่ง โดยปีนขึ้นหลังเพื่อนบ้านก็จะสามารถเอื้อมถึงตัวกระดิ่งได้ แต่ใจหนึ่งก็กลัวว่าเพื่อนบ้านจะไม่เล่นด้วย ไม่ยอมเป็นขโมยกับตนเอง แต่ไม่ละพยายาม สุดท้ายจึงหยิบเอาเก้าอี้ตัวหนึ่งไปเป็นอุปกรณ์แทน
ในค่ำวันที่สอง เขาแบกเก้าอี้ไปถึงหน้าประตูเป้าหมาย ปีนขึ้นไป เอาผ้าปิดตา มือหนึ่งปิดหู อีกมือเอื้อมไปคว้ากระดิ่ง แต่มิคาด พลันมือถูกกระทบ กระดิ่งก็ดังส่งเสียงก้องกังวานของมันออกมา จนทำให้เจ้าของบ้านออกมาพบและจับตัวเขาไว้ได้ในที่สุด
บางครั้งในชีวิตจริงของเราก็เป็นเช่นชายคนนั้นที่คิดว่าตัวเองฉลาด สรรหารพัดวิธี หาร้อยพันเหตุผลเพื่อแอบอ้างปิดบังความร้ายกาจของตัวเอง ชอบแสดงความชาญฉลาดที่แสนจะเขลาเบาปัญญา เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ แสร้งปิดหูปิดตาตัวเอง หลอกตัวเอง ทำเพื่อให้รู้สึกดีกับตัวเอง และคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะพลอยทำให้ผู้อื่นคิดแบบที่เราคิดด้วย คนเรานะหลอกใครก็หลอกได้แต่หลอกตัวเองนะไม่มีทางเป็นไปได้ คนที่สามารถหลอกแม้กระทั่งตัวเองได้ความเป็นคนจะเหลืออะไร นอกจากเหลือเชื่อ ใช่หรือไม่ ที่ว่ายิ่งโตยิ่งไร้สุข เพราะเราสร้างมายาให้กับตัวเองมากไป มีเหตุผลข้อแก้ตัวมาปิดตา ตัณหาเลยบังใจไปเต็มๆ
เด็กๆทำเรื่องที่ไร้เดียงสา เพราะความไม่รู้ ความไม่มีมารยา จึงทำให้ทุกสิ่งอันที่ทำเป็นความสุขและความงดงาม แต่ผู้ใหญ่อย่างเราๆท่านๆบางครั้งทำอะไรที่ไร้สำนึก ไร้การไตร่ตรอง มันก็เลยกลายเป็นตังเร่งที่ทำให้เกิดกองทุกข์มากมาย ใช่หรือเปล่า วันนี้เราล้วนแต่ปิดตาปิดหูตัวเองและแลบลิ้นใส่กัน จิตใจเราวันนี้จึงมีแต่เล็กลงๆและคับแคบแคบจนกระทั่งลูกมดหลงเข้าไปในใจของเรามันยังหายใจไม่ออกเลย.....