ยอมรับในความอ่อนแอบ้าง
>>>
การยอมรับหาใช่พ่ายแพ้
แต่คือการอ่อนน้อมเพื่อปรับเปลี่ยน <<<
หลายฝ่ายต่างออกมาบอกว่าปีนี้จะเป็นปีที่เราต้องระมัดระวังตัวเองกันให้ดี ๆ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ กำแพงภาษี ที่กำลังถาโถมใส่กันจนจะกลายเป็นสงครามการค้าไปแล้ว ไหนจะมีเรื่องภัยธรรมชาติ เกิดถี่จนน่ากลัวว่าเราจะอยู่กันอย่างไร? แต่ก็นั่นแหละ เราอยู่ในโลก เราก็ต้องยอมรับความเป็นไปและปรับตัวเองให้ได้อย่าไปจมอยู่กับวันวานที่ผ่านมา อย่าจมอยู่กับความสำเร็จในอดีต เพราะมันอาจจะฉุดรั้งเราให้ถอยหลัง ใช่หรือไม่ วันคืนผ่านมาเราอาจจะแข็งแกร่ง มาวันนี้เราอาจจะต้องยอมให้คนเปลี่ยนเสื้อผ้า ผูกสายรองเท้า พยูงเราเดิน นี่แหละชีวิตจริง น้อมรับปรับตัวให้เป็น การรู้ว่าเรายืนอยู่ตรงไหนเป็นสิ่งจำเป็นก่อนที่เราจะก้าวไปที่อื่นได้ นี่คือธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง
มีเรื่องเล่าของขอทานคนหนึ่งที่ฝันอยากเป็นเศรษฐี
เขาใช้ชีวิตวันต่อวันด้วยการขอทาน
พร้อมกับฝันถึงวันที่จะมีบ้านหลังใหญ่และรถยนต์หรู
แต่กลับไม่เคยก้าวพ้นสภาพขอทานได้ จนกระทั่งวันหนึ่ง
เขานั่งดูเงาของตัวเองในน้ำและยอมรับอย่างเต็มที่ว่า “ฉันเป็นขอทาน” และเริ่มถามตัวเองว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
เมื่อเขาตรวจสอบชีวิตอย่างซื่อสัตย์ เขาพบว่านิสัยการคิดและพฤติกรรมของเขาคือต้นเหตุ
ไม่ใช่โชคชะตาที่เขามักโทษ
เขาพบว่าตัวเองใช้เงินที่ขอมาได้หมดในวันเดียวโดยไม่เคยเก็บออม
ไม่เคยคิดวางแผนระยะยาว และไม่เคยพัฒนาทักษะใด ๆ
เมื่อยอมรับความจริงนี้ เขาเริ่มปรับเปลี่ยนทีละเล็กทีละน้อย เขาเก็บเงินบางส่วนที่ได้มา ฝึกงานช่างไม้ง่าย ๆ จนสามารถทำเฟอร์นิเจอร์เล็กๆ ขายได้ จากการขอเงินคนอื่นเป็นการหาเงินด้วยตัวเอง จากการใช้จนหมดเป็นการเก็บออม จากการทำเพื่ออยู่รอดไปวัน ๆ เป็นการวางแผนระยะยาวสิบปีต่อมา เขากลายเป็นเจ้าของร้านเฟอร์นิเจอร์เล็กๆ แต่มั่นคง ไม่ใช่เศรษฐีในความฝัน แต่ไม่ใช่ขอทานในความจริงอีกต่อไป (ปรัชญาแห่งดาบ)
เราทุกคนย่อมคิดว่า
มาถึงวันนี้ได้ เราก็ไม่ธรรมดา และเพราะความคิดนี้เราจึงหลงและติดกับดักของชีวิต
ที่ทำให้เราไม่สามารถก้าวไปทางไหนได้ ทำไมการยอมรับความจริงจึงยากนักเล่า? ความกลัว คือ คำตอบ ความกลัวการยอมรับความจริงฝังรากลึกลงในจิตใจมนุษย์
เหมือนกับตอนที่เราส่องกระจก
และเห็นริ้วรอย เห็นฝ้า เห็นข้อบกพร่อง รับความจริงไม่ได้ จึงต้องหาอะไรมาปกปิด
ไปแต่งเติม เปลี่ยนแปลงให้ดูดีในสายตาคนอื่น เรากลัวที่จะไม่เป็นที่ยอมรับของคนอื่น
การยอมรับความจริงไม่ใช่การพ่ายแพ้ แต่เป็นการชนะความกลัว ชนะการหลอกตัวเอง
ยิ่งเรากล้าเผชิญหน้ากับความจริงมากเท่าไร
พลังในการเปลี่ยนแปลงก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น คนที่กล้ายอมรับข้อบกพร่องของตัวเอง
คือ คนที่พร้อมเติบโตมากที่สุด ซึ่งมีสิ่งหนึ่งที่มาพร้อมกัน คือ
ความอดทน รู้จักผ่อนรู้จักพัก
ความอดทนไม่ใช่การรอคอยอย่างเฉยเมย แต่ต้องปฏิบัติตนอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่หวังผลให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
เข้าใจในวาระของพระเจ้าที่จะมอบให้เรา
น้อมรับว่าสั้นยาวมิอาจจะเปรียบได้กับวันเวลาในโลกนี้ เราต้องยอมรับว่านิสัยที่สั่งสมมานานไม่อาจเปลี่ยนในเวลาอันสั้น
แต่การเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นได้จริงหากเรายืนหยัดในหนทางธรรม สิ่งเหล่านี้มิใช่ทำครั้งเดียวก็จะเกิดผล
ฝึกฝน เรียนรู้ อดทน สังเกต แล้วเราก็จะพบกับหนทางเฉพาะตัวเรา
เมื่อเราเปลี่ยนแปลงแล้ว เราก็ต้องยอมรับสิ่งใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา นี่คือการก้าวสู่การเข้าใจตนเองและโลกให้ลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาลเวลาที่ติดตามตัวเรามา
เราจะพบว่าชีวิตเปลี่ยนไปอย่างลึกซึ้งและยั่งยืน
ไม่ใช่การเปลี่ยนอย่างฉาบฉวยหรือเป็นไปตามกระแส แต่เป็นวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณที่เกิดจากความเข้าใจตัวเอง
และนำไปสู่สันติสุขท่ามกลางวันเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยมีพระเจ้าอยู่เคียงข้างพยูงเราไปในทุก ๆ ที่ตลอดการเดินทาง.....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น