วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ใจที่ไร้พรมแดน

 

ใจที่ไร้พรมแดน

>>> บางครั้งชัยชนะ ก็ซ่อนอยู่ในความพ่ายแพ้ <<<

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาติดตามข่าวความขัดแย้งถึงขึ้นทำสงครามใส่กันระหว่างอิสราเอลกับ อิหร่าน มีความรู้สึกว่ามนุษย์เราฉลาดคิดค้นอุปกรณ์อาวุธล้ำสมัยขึ้นมาเพื่อทำร้ายกัน เพื่อทำลายโลกนี้ให้เร็วขึ้น การสู้รบแม้ไม่ต้องเผชิญหน้ากันเหมือนสมัยก่อน แต่กลับกลายเป็นการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินได้มากมายมหาศาล ไหนจะรัสเซียกับยูเครนก็เริ่มบดบี้กันหนักขึ้น เพิ่งจางไปก็อินเดียกับปากีสถาน และประเทศเรากับเพื่อนบ้าน ก็ทำสงครามข่าวสาร ปลุกระดมในสื่อที่ไร้พรมแดน เพียงเพื่อช่วงชิงดินแดน มีคำถามหลากหลายที่เกิดขึ้น เป็นข้อสงสัยในกฎเกณฑ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น อาทิ ทำไมประเทศหนึ่งผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้ แต่พอประเทศหนึ่งจะผลิตบ้างก็ห้าม ก็ถูกลงโทษ เท่าที่พอจะหาความรู้ได้ ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์อย่างเป็นทางการ 5 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริการัสเซีย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส จีน เพราะเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) และได้รับการรับรองตาม สนธิสัญญาการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT - Non-Proliferation Treaty) ปี 1968 มันก็ทำให้อำนาจอยู่กับบางประเทศ โลกไร้พรมแดนจึงไม่มีอยู่จริง  ในวันนี้หลายประเทศก็ผลิตอาวุธร้ายขึ้นอย่างไร้พรมแดนเหมือนกัน

ทำไมโลกเป็นเช่นนี้ ใช้สงครามดับสงคราม คิดเอาไฟไปดับไฟ มันก็ยิ่งวุ่นวายกันไปใหญ่ เส้นทางแห่งความฉ่ำเย็นสงบสุขไม่เลือกที่จะเดิน กลับเลือกเดินลุยเปลวไฟที่ลุกโชน ใช้สงครามดับสิ้นสงครามนั้น สงครามมันจะสงบสุขได้จริงหรือ แล้วผู้พ่ายแพ้แท้จริง คือ ผู้ใด ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คือ ประชาชน เช่นดังคำกล่าวที่มีมาเนิ่นนา เมื่อช้างสารชนกันหญ้าแพรกก็ล้มตาย   ชีวิตคนธรรมดาที่ไม่มีอำนาจใครจะสนใจ มันก็คือผลประโยชน์ของคนมีอำนาจไม่กี่คน และสงครามส่วนมากเริ่มจากพูดกันไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จักฟังกัน แล้วก็เกิดการขัดเคือง ต่างคนต่างพูด ต่างฝ่ายต่างเอาดีใส่ตัว

มีคำกล่าวว่า นักปราชญ์ย่อมใช้คำพูดเท่าที่จำเป็น พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ พูดในสิ่งที่เกิดความเปลี่ยนแปลง พูดในสิ่งที่ผู้ฟังสนใจใคร่รู้ ยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งที่คิดจะพูด ย่อมใช้สติกำกับในทุกคำที่พูดเสมอ อะไรคือแรงผลักในการพูด พลังอันใดที่กระตุ้นให้รู้สึกอยากเปล่งเสียงออกมา พลังความเห็นแก่ตัว หรือพลังแห่งปรีชาญาณ สองสิ่งนี้มีพลังที่บังคับคำพูดของผู้คน พูดดีก็ได้ พูดเลวก็ได้ ตราบที่ยังปนเปื้อนด้วยบาป ตราบที่ยังมีกิเลสเป็นเชื้ออยู่ในจิตใจ ขอให้รู้ว่าไม่มีใครดีไปกว่าใคร หนทางที่ดี ง่าย และปลอดภัยที่สุด ก็คือ หยุดพูด เปิดใจ หมั่นสำรวจตรวจสอบความพยองที่ฟูฟ่องอยู่ภายใน ฟื้นฟูความเมตตาในจิตวิญญาณให้มากที่สุด เมตตา คือ คู่ปรับของความเห็นแก่ตัว มีเมตตามากความเห็นแก่ตัวก็น้อย เพื่อหลีกเลี่ยงหากจำเป็นก็เดินออกจากสมรภูมิแห่งการโต้เถียง ขึ้นชื่อว่าสงคราม ในความเป็นจริงย่อมไม่มีผู้ชนะ ทุกคนล้วนแต่เป็นผู้แพ้ทั้งสิ้น

สงครามไม่ใช่เรื่องของวันนี้เท่านั้น แต่คือเรื่องของวันพรุ่งนี้ที่ยังไม่มาถึง ต้นตอแห่งความวุ่นวาย ประการสำคัญ คือ ใจคนที่ไม่รู้จักพอ ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน และความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ปัญหาและความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในสังคม ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้ง ความโลภ การเอารัดเอาเปรียบ หรือแม้แต่สงคราม ล้วนมีรากเหง้าสำคัญมาจากใจคนที่ไม่รู้จักพอนั่นเอง ใจที่รู้จักพอ ใจที่ไร้พรมแดน ไม่ได้แปลว่าหยุดพัฒนา แต่หมายถึง พอในสิ่งที่ควรหยุด และให้ความรักความเมตตาออกไปอย่างมิสิ้นสุด ความวุ่นวายภายนอกจึงสะท้อนจากความไม่พอภายในใจ เมื่อใดที่ใจหยุดแสวงหาในสิ่งที่เกินความจำเป็น เมื่อนั้นความสงบก็จะเกิดขึ้นทั้งในตัวเองและสังคม ด้วยหัวใจแห่งรักไร้พรมแดนของพระเยซูเจ้า พระองค์จึงยอมเสียเลือดเนื้อในวันนั้น เพื่อก่อให้เกิดสันติสุขภายในใจของเราในวันนี้

วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ภายในที่ดี

 

ภายในที่ดี

>>> ความสำเร็จที่แท้จริง เริ่มต้นจากภายใน จิตใจที่ดี จะดึงดูดการกระทำที่ดี <<<

ดูเหมือนว่าความวุ่นวายของสังคมเริ่มจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และความขัดแย้งในองค์กร ก่อให้เกิดความสับสนอลหม่านไปกันหมด ท่ามกลางเครื่องมือสมัยใหม่ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาแทนที่จะเป็นเครื่องมือช่วยให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้น ทำให้เรามีความสุขมากขึ้น แต่เปล่าเลย มันกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้ช่วงชิงผลประโยชน์ เป็นเครื่องมือที่ก่อให้เกิดความเห็นแก่ตัวมากขึ้นและเร็วขึ้นอย่างไม่รู้ตัว วันนี้เรากำลังหลุดวงโคจรในสำนึกของตัวเองกันมากขึ้น เราไม่นิ่งพอต่อสิ่งเร้า เราขาดการเจริญเติบโตทางชีวิตภายใน เราเร่งรีบกันเกินไป จนกลายเป็นผลที่สุกก่อนวัยอันทาน เราหาความสำเร็จเพื่อปรุงแต่งตัวตนมากกว่ามองความสำเร็จขององค์รวม ที่สุดเรากำลังละทิ้งพระผู้ช่วยให้เดียวดายอย่างไม่ใยดี แล้วพอความเลวร้ายมาถึง เราก็ล้มลงไม่เป็นท่า...

ถ้าชีวิตภายในเราแกร่งพอไม่ว่าจะเจอเรื่องราวหลายหลากเช่นไร จะเลวร้ายแค่ไหน เราพร้อมน้อมรับกับทุกสถานการณ์ เราต้องรู้จักคุณค่าในตัวเองและเชื่อว่า “เราเข้มแข็งพอ” ที่จะก้าวข้ามทุกปัญหาได้อย่างผู้มีปัญญา สิ่งหนึ่งที่ต้องประคับประคองไว้ให้ได้คือ “ใจ” และ “พลังบวก” ภายใน อย่าให้ใครมาลดทอนสิ่งดี ๆ ที่เรามีอยู่ อย่าให้ใครมีอิทธิพลกับความรู้สึกมากไป ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามที่มันควรจะเป็น ยึดใจไว้อย่าให้แกว่ง

ใจที่ไม่มั่นคงเปรียบเหมือนเรือที่ไร้หางเสือ ลมพัดไปทางไหนก็พาไปทางนั้น ไม่อาจควบคุมทิศทางของตนเองได้ เมื่อเจอลมพายุพัดใส่ คำพูดของคนอื่น เรื่องราวรอบตัว หรือความกลัวภายใน ใจก็หวั่นไหวและไหลไปตามกระแสคลื่นอย่างง่ายดาย เรือที่ไร้หางจะไม่มีวันถึงจุดหมาย เพราะไม่มีสิ่งใดนำทางฉันใด ใจที่ไม่มั่นคงก็ไม่อาจสร้างเส้นทางชีวิตที่ชัดเจนได้ฉันนั้น การมีจิตใจมั่นคง ไม่ได้แปลว่าแข็งกระด้าง แต่เป็นการรู้จักตนเอง ยืนหยัดในความดีงาม และกล้าที่จะตัดสินใจแม้ยามคลื่นลมแรง เพราะเมื่อใจนิ่ง แน่วแน่ และมีเป้าหมาย ก็เหมือนเรือที่มีหางเสือพร้อมแม้ต้องฝ่าคลื่นลม มุ่งหน้าไปถึงฝั่งได้ในที่สุด

และเพื่อให้ใจที่มั่นคงเราต้องเรียนรู้ที่จะฟังเสียงภายใน ความเงียบภายในใจไม่ใช่ความอ่อนแอ เป็นการฟื้นฟูตัวเองเพื่อกลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิม  เป็นกระบวนการที่เราหยุดเพื่อฟังเสียงของตัวเอง ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเราเผชิญกับปัญหาหรือความกดดัน บางครั้งการตอบสนองโดยทันทีอาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด ความเงียบช่วยให้เราได้ไตร่ตรอง หาคำตอบ และค้นพบพลังใหม่ที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง การหยุดพักไม่ได้หมายถึงการยอมแพ้ แต่เป็นการให้เวลากับตัวเองได้ฟื้นตัวจากความเหนื่อยล้าและเตรียมพร้อมสำหรับก้าวต่อไป

คนสมัยใหม่มักอยู่คนเดียวไม่เป็น พออยู่คนเดียว ก็กลัวเหงา กลัวความเงียบ ใจล่องลอยคิดถึงนั่นนี้ นี่คือความอ่อนแอของจิตใจ ปัญหานี้เรามักมองข้ามกัน คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ทุกวันนี้เรามีโทรศัพท์เป็นเพื่อน อยู่คนเดียวได้ขอให้มีไวไฟ มีคลื่นโทรศัพท์ แต่ไม่ได้อยู่กับความเงียบ ไม่มีเวลาสนทนากับพระจิตเจ้า เลยรู้สึกต้องการนั่นนี่โน้นตลอดเวลา ตรงกันข้ามกับคนที่นิ่งเป็นจะมีความรู้สึกว่าไม่ขาดอะไรเลย จะอยู่คนเดียว อยู่น้อยคน อยู่มากคน จิตใจก็มั่นคง จะคบใครพูดคุยกับใครก็มีความสุข  จะอยู่คนเดียวก็มีความสุขได้ ความสุขจึงขึ้นอยู่กับการเติบโตของชีวิตภายใน ไม่ต้องพึ่งคนอื่น ก่อให้เกิดความมั่นใจในตัวเองเป็นปฐมบท มั่นใจตัวเองไม่ได้แปลว่าอวดดี แต่เพราะเชื่อมั่นว่าตัวเราดีพอ จึงกล้าที่จะใช้ชีวิตอย่างคนที่ไม่กังวลกับความทุกข์

ใช้ชีวิตในวันที่ดูไม่โสภาให้เป็นของขวัญ และของขวัญที่ดีที่สุดของชีวิต คือ ความสุขภายในเป็นความสุขแท้จริงที่เกิดจากใจหยุดนิ่ง เมื่อหยุดจึงสว่าง เมื่อสว่างจึงเห็น เมื่อเห็นจึงรู้ เมื่อรู้จึงหลุดพ้นจากความทุกข์ และที่สุดพระจิตอยู่ในตัวเราเสมอ ฟังเสียงพระองค์บ้าง ให้พระองค์ชี้นำทาง สนทนากับพระองค์บ่อย ๆ ในยามว่าง เพื่อให้พระองค์เป็นชีวิตภายในของเรา

วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

สู่สวรรค์ในตัวตน

 

สู่สวรรค์ในตัวตน

>>> อย่าเสียเวลาพยายามเป็นอย่างที่คนอื่นอยากให้เป็น <<<

หากเราสังเกตดูดี ๆ เวลาเราใช้สื่อสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเปิดดูเรื่องราวที่สนใจ หรือหาสินค้าที่เราต้องการ เพียงเปิดครั้งสองครั้ง ไม่นานเรื่องราวที่เหมือน ๆ กัน สินค้าแบบเดียวกัน ก็จะขึ้นมาให้เราได้เห็นเต็มไปหมด เพราะระบบ AI จดจำสิ่งที่เราสนใจและประมวลผลอย่างรวดเร็ว จึงทำให้เราจ่มจมอยู่กับเรื่องราวเหล่านั้น และฝั่งในลงสมองให้เราจดจำ คล้อยตาม จนไม่เป็นตัวของตัวเอง อย่างเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความสนใจหนังสือการ์ตูนเล่มหนึ่งที่ได้รับการกล่าวขวัญมาก คือหนังสือชื่อ อนาคตที่ฉันเห็น เขียนโดย Ryo Tatsuki เป็นการ์ตูนที่วาดไว้ก่อนล่วงหน้า โดยผู้เขียนฝันถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ซ้ำ ๆ แล้วก็ได้บันทึกไว้ในช่วงปี 70 - 80  มีเหตุการณ์ต่าง ๆ ในโลกเกิดขึ้นจริงตามความฝันนั้น ที่ชัดที่สุด คือ สึนามิญี่ปุ่นที่เกิดในเดือนมีนาคม ปี 2011 และการทำนายเรื่องการระเบิดของภูเขาไฟครั้งใหญ่ ในต้นเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศแผนรับมือตั้งแต่ต้น ๆ ปี ผลปรากฏว่าทั้งวันมีแต่เรื่องการทำนายอนาคตของโลกนี้ขึ้นมาให้อ่าน ให้เห็นมากมาย ลามมาถึงหมอดูทั้งไทยและเทศ ทำให้รู้สึกคล้อยตามว่าโลกจะถึงกาลอวสานเสียแล้วกระมัง...

จนมานั่งคิด มานั่งไตร่ตรองดู ในชีวิตจริงของเรามักจะถูกชักจูง ถูกโน้มนำดูคนอื่นอยู่เสมอ ๆ จนกระทั่งความเป็นตัวเองแทบหาไม่ได้ในบางช่วงบางขณะ ใช่หรือไม่ เราถูกปลูกฝังมาว่าเราต้องเป็นส่วนหนึ่งของสังคม พลอยทำให้เราแสวงหาการยอมรับจากคนอื่น เราจึงพยายามทำให้คนนั้นคนนี้พอใจ วิ่งตามคนอื่นชี้นำอย่างไม่จบสิ้น ทั้ง ๆ ที่ เอาเข้าจริงเราไม่มีทางที่จะทำให้ทุกคนพอใจเราได้ตลอดไป จนเมื่อเรารู้จักอยู่กับตัวตนเรา ก็คิดได้ว่าจะไปเสียพลังงานกับการเอาใจคนอื่นไปทำไม เส้นทางชีวิตของเรามีพระเจ้ากำหนด คุณค่าของเราไม่ได้ถูกกำหนดด้วยคำวิจารณ์ของใคร เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเอาใจคนอื่นตลอดเวลา

เป็น “ตัวของตัวเอง” นั่นแหละดีที่สุดแล้ว ไม่มีใครดีกว่าใคร ไม่ต้องไปสนใจว่า เดินในหนทางธรรมทำความดีตามแบบของเรา ใครจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ใช้ชีวิตตามตัวตน ตามพระฉายาลักษณ์ที่พระเจ้าประทานมาให้  และจำไว้ว่าเราไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ ดังนั้น ควรทำสิ่งที่เราต้องทำดีและทำให้ตัวเองมีความสุขจะดีกว่า มีคำกล่าวไว้ว่า “เห็นคนเห็นตน เห็นนิสัยคนอื่นหมื่นแสนล้าน ไม่สู้เห็นนิสัยตนสักเพียงหนึ่ง ตัดสินคนอื่นได้มากมาย ตัดสินใจแก้ไขตนเองไม่ได้ ก็ไม่สู้ อย่าไปตัดสินอะไรใคร”

มีความฉลาดรู้รอบสารพัด แต่ไม่รู้ใจตนก็เท่านั้น ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน นั่นคือ รู้จักหันกลับมามองดูตนเอง พิจารณาตนเอง ยอมรับตนเอง ปรับปรุงแก้ไขตนเองมากกว่าสนใจไปยังผู้อื่น ผู้ที่เต็มเปี่ยมในตนจึงไม่แสวงหาการเติมเต็มจากผู้อื่น เมื่อไม่คิดจะแสวงหาการเติมเต็มจึงสามารเห็นคุณค่า และให้ความเคารพต่อผู้คนได้อย่างแท้จริง

โลกเรามีคนอยู่เป็นพันล้านคน และทุกคนถูกสร้างมาให้แตกต่าง ไม่ใช่แค่หน้าตาภายนอก บุคลิกนิสัย แม้กระทั่งลายนิ้วมือที่ไม่เคยมีใครซ้ำกัน นี่เป็นอัศจรรย์การสร้างอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในตัวเราแต่ละคน ทุกอย่างในตัวเราเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำแบบใคร เลิกที่จะไปเลียนแบบพฤติกรรมความคิดคนอื่น ไม่ว่าเราจะมีลักษณะแบบไหน มันคือความงดงามที่แตกต่าง อย่าไปเอามาตรฐานคนอื่นมาลดคุณค่าของตัวเรา เชื่อมั่นในพระเจ้าผู้ทรงสร้างเรามา และนี่ล้วนเป็นสวรรค์ในตัวตนของเรา มาทำให้สวรรค์นี้เป็นที่ประจักษ์ต่อคนอื่น โดยไม่ต้องไปบังคับ โน้มนำให้คนทุกคนให้มาทำตามเรา และแม้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร เราจงเป็นตัวตนลูกของพระเจ้า และมั่นใจว่าพระองค์จะอยู่กับเราเสมอนะครับ

วันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

หยุดทรยศตัวเอง

 

หยุดทรยศตัวเอง

>>> ความรู้ไร้ประโยชน์หากปราศจากความรัก <<<

ได้พบบทความเรื่องราวที่ไม่เคยเล่าขานของสมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 พระสันตะปาปาองค์ที่ 267 มาให้ได้อ่านและรับรู้ว่าพระเจ้าได้ทรงเลือกคนที่เหมาะสมกับยุคสมัยจริง ๆ

ในปี 1975 โรเบิร์ต พรีโวสต์ ครูสอนคณิตศาสตร์ในชิคาโก ผู้ศรัทธาในศาสนาคาทอลิกอย่างลึกซึ้ง ได้รับการตอบรับเข้าศึกษาต่อในคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เขามีทุกสิ่งที่ชายหนุ่มคนหนึ่งจะใฝ่ฝัน แต่แล้ว...เขากลับตัดสินใจในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด เขาปฏิเสธฮาร์วาร์ด ปฏิเสธอนาคตที่จะร่ำรวย ชื่อเสียง ความสะดวกสบาย และตอบรับในสิ่งที่น้อยคนกล้าเลือก ชีวิตแห่งการเสียสละ มอบตนเข้าร่วมกลุ่มมิชชันนารีและย้ายไปเปรู ที่ที่ไม่ใช่ในเมือง ไม่ใช่ในแหล่งท่องเที่ยว แต่ไปยังหมู่บ้านที่ห่างไกล ที่เด็ก ๆ เสียชีวิตจากโรคที่รักษาได้ และครอบครัวต้องเดินเท้าเป็นไมล์

เพียงเพื่อน้ำสะอาด ไม่มีถนน ไม่มีน้ำประปา ไม่มีคลื่นโทรศัพท์ มีเพียงภูเขา ความเงียบ และความยากจน แต่เขายอมรับมันราวกับบ้านเกิด

ท่านไม่ได้เพียงแค่ใช้ชีวิตท่ามกลางผู้คน แต่กลายเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเขา เรียนรู้ภาษาเกชัว ภาษาศักดิ์สิทธิ์ของชาวอินคา แบกอาหาร เดินเท้าเป็นเวลาหลายวัน นอนบนพื้นดินกับชาวบ้าน สวดภาวนาภายใต้แสงดาว สอนคณิตศาสตร์ให้กับเด็กใต้หลังคาที่ผุพัง เมื่อไม่ได้สอน ก็ช่วยแบกคนป่วยบนหลังลา เพื่อไปรับการรักษา ท่านรับฟังทุกเรื่องราวที่ไม่มีใครใส่ใจ

ในขณะที่เพื่อน ๆ กลายเป็นทนายความและแพทย์ ท่านลับกลายเป็นบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างออกไป เป็นนักรบแห่งศรัทธาผู้เงียบสงบ การกระทำของท่านไม่ได้ถูกเผยแพร่ แต่ก้องกังวานไปทั่วเทือกเขาแอนดีส บรรดาพระสังฆราช พระสงฆ์ สังเกตเห็น และในที่สุดวาติกันก็รับรู้ จึงเชิญท่านกลับมาเพื่อนำคณะออกัสติน จากการรับใช้หมู่บ้านสู่การดูแลนักบวช 2,800 คน ในกว่า 40 ประเทศ ถึงกระนั้น ท่านก็ยังคงสวมรองเท้าแตะคู่เดิม ยังคงเดินไปกับคนยากไร้ ปฏิเสธความหรูหรา

แล้วการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งก็มาถึง ในปี 2020 ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นพระอัครสังฆราชและได้รับหน้าที่ให้ดูแลพระสังฆราชทั่วโลก ท่านไม่ได้เพียงแค่พูดภาษาละตินหรือกฎหมายศาสนจักรได้อย่างคล่องแคล่ว กลับคล่องแคล่วในความเมตตา ในความถ่อมตน ในการรับฟัง ในการอยู่เคียงข้างพระศาสนจักร 30 กันยายน 2023 สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสทรงประกาศอย่างเป็นทางการแต่งตั้งให้ท่านเป็นพระคาร์ดินัล และแล้วประวัติศาสตร์ก็ถูกสร้างขึ้น เป็นครั้งแรกชาวอเมริกัน อดีตครูสอนคณิตศาสตร์ มิชชันนารีผู้ถูกลืม ได้เป็นพระสันตะปาปาองค์ที่ 267 แห่งพระศาสนจักรคาทอลิก และพระองค์ท่านก็ไม่เคยลืมผู้คนที่หล่อหลอมพระองค์ท่านจนถึงทุกวันนี้

โลกหมกมุ่นอยู่กับอำนาจแต่พระสันตะปาปาเลโอที่ 14 พิสูจน์ให้เห็นว่า ตำแหน่งไม่มีความหมาย หากปราศจากการรับใช้ ความรู้ไร้ประโยชน์หากปราศจากความรัก และความเชื่อหากปราศจากการเสียสละก็เป็นเพียงเสียงฉาบและฉิ่งเท่านั้น พระองค์ท่านพยายามหันหลังให้กับโลก แต่กลับต้องมาเพื่อเปลี่ยนแปลงโลก  (บทความโดย Catholic Christianity)

สมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่ ท่านไม่เคยที่จะทรยศกับเสียงภายในเลย พระองค์ท่านซื่อสัตย์ต่อการเรียกร้องของพระเจ้าเสมอ และเกิดมาเพื่อเพื่ออื่นโดยแท้จริง วันนี้เราต้องถามตัวเองเสมอ ๆ ว่า เราได้ทรยศกับตัวเองมากน้อยแค่ไหน เราทรยศต่อพระเยซูเจ้าผู้ประทับอยู่กับเราทุกวันมากน้อนแค่ไหน แต่อย่าลืมว่า พระองค์ทรงให้อภัยเราเสมอ เราก็ต้องรู้จักให้อภัยตัวเราเองด้วยเช่นเดียวกัน

วันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

สิ่งที่เราคิดอาจมิใช่สิ่งที่พระเจ้าบอกเรา

 

สิ่งที่เราคิดอาจมิใช่สิ่งที่พระเจ้าบอกเรา

>>> พระศาสนจักรเป็น “บ้านและโรงเรียนแห่งความเป็นหนึ่งเดียว” ที่แท้จริง <<<

ขณะที่เขียนบทความนี้อยู่ยังไม่รู้ว่า เรามีพระสันตะปาปาคือพระองค์ไหน? เพราะเพิ่งผ่านการเลือกตั้งครั้งแรกไปเมื่อคืนนี้ (เช้า 8 พฤษภาคม 2025) ก่อนหน้านั้นมักมีคนถามว่า “ใครจะได้เป็นพระสันตะปาปาองค์ใหม่” ก็ได้แต่ตอบว่า “ไม่ทราบ รู้เพียงว่าพระเจ้าจะทรงเลือกสรรผู้ที่เหมาะสมกับกาลเวลาเสมอ” หลายคนก็ไม่เข้าใจ เพราะจะติดตามข่าวจากสื่อมวลชนที่มักจะมีพระคาร์ดินัลตัวเกร็ง แต่ด้วยประสบการณ์ที่ได้อยู่ร่วมกับการเลือกตั้งพระสันตะปาปามาหลายสมัย เรามักจะได้ผู้นำจิตวิญญาณแบบที่เราไม่คาดคิดเสมอ เพราะการเลือกตั้งพระสันตะปาปานั้นมีพระจิตเจ้านำทาง มิใช่เป็นกระบวนตามที่เราคุ้นชิน และคาดการณ์ได้ง่าย

บางทีพระเจ้าก็ทรงสอนเราผ่านทางเหตุการณ์สำคัญ ๆ นี้ หากเราได้ไตร่ตรองดี ๆ เราจะพบว่า สิ่งที่มนุษย์คิดอาจจะเป็นไม่ได้ ทุกอย่างอยู่ในแผนการของพระเจ้าเสมอ เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้น “ล้วนดีเสมอ” เราอยู่ในยุคที่เต็มไปด้วยการสื่อสารและมักถูกกระแสแห่งการสื่อสารชักนำและคล้อยตามจนขาดความไว้วางใจพระเจ้า ดูการถ่ายทอดพิธีกรรมก่อนการเลือกตั้ง ได้ยินบทเร้าวิงวอนนักบุญทั้งหลาย ทำให้เข้าใจว่า ลำพังความคิดมนุษย์นั้นไม่สามารถทำอะไรได้เลย หากไร้พระเจ้าเพื่อชี้นำทาง นี่แหละ ความเชื่อที่เราต้องนำมาใช้ในชีวิตจริง อย่าคิดว่าเก่ง อย่าคิดว่าดีแล้ว จะทำอะไรก็ขอพระเจ้าทรงนำทาง และกิจการนั้นก็จะสมบูรณ์

 พระคาร์ดินัล โจวานนี่ บัตติสต้า เร หัวหน้าคณะพระคาร์ดินัล เป็นประธานในพิธีได้กล่าวไว้ในท้ายบทเทศน์มิสซาเพื่อการเลือกตั้งพระสันตะปาปาว่า “ขอพระจิตประทานพระสันตะปาปาองค์ใหม่ที่สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้า เพื่อความดีของพระศาสนจักรและมวลมนุษยชาติ ขอให้พระเจ้าประทานพระสันตะปาปาที่สามารถปลุกจิตสำนึก และพลังศีลธรรมในสังคมยุคใหม่ที่กำลังลืมพระเจ้าด้วย”

*** พระสันตะปาปาพระองค์ใหม่ คือ สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 ***

วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ยอมรับในความอ่อนแอบ้าง

 

ยอมรับในความอ่อนแอบ้าง

>>> การยอมรับหาใช่พ่ายแพ้ แต่คือการอ่อนน้อมเพื่อปรับเปลี่ยน <<<

หลายฝ่ายต่างออกมาบอกว่าปีนี้จะเป็นปีที่เราต้องระมัดระวังตัวเองกันให้ดี ๆ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ กำแพงภาษี ที่กำลังถาโถมใส่กันจนจะกลายเป็นสงครามการค้าไปแล้ว ไหนจะมีเรื่องภัยธรรมชาติ เกิดถี่จนน่ากลัวว่าเราจะอยู่กันอย่างไร? แต่ก็นั่นแหละ เราอยู่ในโลก เราก็ต้องยอมรับความเป็นไปและปรับตัวเองให้ได้อย่าไปจมอยู่กับวันวานที่ผ่านมา อย่าจมอยู่กับความสำเร็จในอดีต เพราะมันอาจจะฉุดรั้งเราให้ถอยหลัง ใช่หรือไม่ วันคืนผ่านมาเราอาจจะแข็งแกร่ง มาวันนี้เราอาจจะต้องยอมให้คนเปลี่ยนเสื้อผ้า ผูกสายรองเท้า พยูงเราเดิน นี่แหละชีวิตจริง น้อมรับปรับตัวให้เป็น การรู้ว่าเรายืนอยู่ตรงไหนเป็นสิ่งจำเป็นก่อนที่เราจะก้าวไปที่อื่นได้ นี่คือธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

มีเรื่องเล่าของขอทานคนหนึ่งที่ฝันอยากเป็นเศรษฐี เขาใช้ชีวิตวันต่อวันด้วยการขอทาน พร้อมกับฝันถึงวันที่จะมีบ้านหลังใหญ่และรถยนต์หรู แต่กลับไม่เคยก้าวพ้นสภาพขอทานได้ จนกระทั่งวันหนึ่ง เขานั่งดูเงาของตัวเองในน้ำและยอมรับอย่างเต็มที่ว่า “ฉันเป็นขอทาน” และเริ่มถามตัวเองว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

เมื่อเขาตรวจสอบชีวิตอย่างซื่อสัตย์ เขาพบว่านิสัยการคิดและพฤติกรรมของเขาคือต้นเหตุ ไม่ใช่โชคชะตาที่เขามักโทษ เขาพบว่าตัวเองใช้เงินที่ขอมาได้หมดในวันเดียวโดยไม่เคยเก็บออม ไม่เคยคิดวางแผนระยะยาว และไม่เคยพัฒนาทักษะใด ๆ

เมื่อยอมรับความจริงนี้ เขาเริ่มปรับเปลี่ยนทีละเล็กทีละน้อย เขาเก็บเงินบางส่วนที่ได้มา ฝึกงานช่างไม้ง่าย ๆ จนสามารถทำเฟอร์นิเจอร์เล็กๆ ขายได้ จากการขอเงินคนอื่นเป็นการหาเงินด้วยตัวเอง จากการใช้จนหมดเป็นการเก็บออม จากการทำเพื่ออยู่รอดไปวัน ๆ เป็นการวางแผนระยะยาวสิบปีต่อมา เขากลายเป็นเจ้าของร้านเฟอร์นิเจอร์เล็กๆ แต่มั่นคง ไม่ใช่เศรษฐีในความฝัน แต่ไม่ใช่ขอทานในความจริงอีกต่อไป  (ปรัชญาแห่งดาบ)

        เราทุกคนย่อมคิดว่า มาถึงวันนี้ได้ เราก็ไม่ธรรมดา และเพราะความคิดนี้เราจึงหลงและติดกับดักของชีวิต ที่ทำให้เราไม่สามารถก้าวไปทางไหนได้ ทำไมการยอมรับความจริงจึงยากนักเล่า? ความกลัว คือ คำตอบ ความกลัวการยอมรับความจริงฝังรากลึกลงในจิตใจมนุษย์ เหมือนกับตอนที่เราส่องกระจก และเห็นริ้วรอย เห็นฝ้า เห็นข้อบกพร่อง รับความจริงไม่ได้ จึงต้องหาอะไรมาปกปิด ไปแต่งเติม เปลี่ยนแปลงให้ดูดีในสายตาคนอื่น เรากลัวที่จะไม่เป็นที่ยอมรับของคนอื่น การยอมรับความจริงไม่ใช่การพ่ายแพ้ แต่เป็นการชนะความกลัว ชนะการหลอกตัวเอง ยิ่งเรากล้าเผชิญหน้ากับความจริงมากเท่าไร พลังในการเปลี่ยนแปลงก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น คนที่กล้ายอมรับข้อบกพร่องของตัวเอง คือ คนที่พร้อมเติบโตมากที่สุด ซึ่งมีสิ่งหนึ่งที่มาพร้อมกัน คือ ความอดทน รู้จักผ่อนรู้จักพัก

ความอดทนไม่ใช่การรอคอยอย่างเฉยเมย แต่ต้องปฏิบัติตนอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่หวังผลให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เข้าใจในวาระของพระเจ้าที่จะมอบให้เรา น้อมรับว่าสั้นยาวมิอาจจะเปรียบได้กับวันเวลาในโลกนี้ เราต้องยอมรับว่านิสัยที่สั่งสมมานานไม่อาจเปลี่ยนในเวลาอันสั้น แต่การเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นได้จริงหากเรายืนหยัดในหนทางธรรม สิ่งเหล่านี้มิใช่ทำครั้งเดียวก็จะเกิดผล ฝึกฝน เรียนรู้ อดทน สังเกต แล้วเราก็จะพบกับหนทางเฉพาะตัวเรา

เมื่อเราเปลี่ยนแปลงแล้ว เราก็ต้องยอมรับสิ่งใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา นี่คือการก้าวสู่การเข้าใจตนเองและโลกให้ลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาลเวลาที่ติดตามตัวเรามา เราจะพบว่าชีวิตเปลี่ยนไปอย่างลึกซึ้งและยั่งยืน ไม่ใช่การเปลี่ยนอย่างฉาบฉวยหรือเป็นไปตามกระแส แต่เป็นวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณที่เกิดจากความเข้าใจตัวเอง และนำไปสู่สันติสุขท่ามกลางวันเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยมีพระเจ้าอยู่เคียงข้างพยูงเราไปในทุก ๆ ที่ตลอดการเดินทาง.....

วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2568

สุดทางคือสันติสุข

 

สุดทางคือสันติสุข

>>> หากรู้ว่าต้องสิ้นลมหายใจ ต้องกระทำสิ่งที่งดงามที่สุด <<<

บ่ายวันจันทร์ขณะกำลังนั่งคุยกับน้องชายที่มาเยี่ยม เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ประโยคที่ได้ยินแต่ไม่อยากได้ยิน คือ ข่าวพระสันตะปาปาสิ้นพระขนม์จริงไหม จึงรีบเช็คข่าวกับน้องที่เป็นแอดมินเพจ Pope Report คำตอบคือ ใช่ครับพี่ ผมยังมือสั่นอยู่เลยตอนโพสต์ข่าวนี้ หลังจากนั้นความทรงจำ คำสอนที่ประทับใจก็หลั่งไหลออกมา และคำสอนสุดท้ายในวันอาทิตย์ปัสกา ก่อนวันสิ้นสุดการเป็นผู้นำจิตวิญญาณในโลกนี้ คือ ขอให้โลกเลือก “อาวุธแห่งสันติ”

พระสันตะปาปาเตือนว่า “สันติภาพจะเกิดขึ้นไม่ได้หากโลกยังคงวิ่งแข่งสะสมอาวุธ” พระองค์เชิญชวนให้มนุษยชาติ “ทำลายกำแพงแห่งความแตกแยก ดูแลกันและกัน เพิ่มความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว และส่งเสริมการพัฒนาทุกคนอย่างสมบูรณ์” พร้อมย้ำว่า “อาวุธแห่งสันติ” คือการช่วยเหลือผู้ยากไร้ ต่อสู้กับความหิวโหย และส่งเสริมการพัฒนา ไม่ใช่การหว่านเมล็ดแห่งความตายหลักมนุษยธรรมต้องไม่เลือนหาย

พระสันตะปาปาเน้นว่า หลักมนุษยธรรมต้องเป็นหัวใจของการกระทำในแต่ละวัน “ต่อหน้าความโหดร้ายของสงครามที่โจมตีพลเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล และเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรม เราไม่อาจลืมได้ว่าผู้ที่ถูกโจมตีคือมนุษย์ผู้มีวิญญาณและศักดิ์ศรี”

หลังการประทานพรจบลง พระสันตะปาปาทรงเซอร์ไพรส์ทุกคนด้วยการออกมานั่งรถโมบิล ทักทายทุกคนอย่างเป็นกันเองที่ลานหน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร พระสันตะปาปาชี้นิ้วสั่งเองด้วยว่า ให้ไปทางไหน และเมื่อเห็นเด็กเล็ก ๆ พระองค์ก็สั่งให้หยุดรถ และพาเด็กมาหาพระองค์ นี่คือสุดทางสันติภาพของพระสันตะปาปา ฟรังซิส แต่ไม่ใช่จุดสิ้นสุดสันติภาพอย่างแน่นอน (ขอบคุณ Pope Report)

วันเสาร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2568

เวลาข้ามผ่าน

 

เวลาข้ามผ่าน

>>> ทุกคนล้วนมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก และก้าวข้ามผ่านมาได้ด้วยกันทั้งนั้น <<<

ในสถานการณ์ของวันนี้ที่ดูเหมือนว่า โลกกำลังตกอยู่ในภาวะที่ยากลำบาก ทั้งภัยจากธรรมชาติ และจากน้ำมือมนุษย์ด้วยกันเอง ที่ส่อเคล้าลางจะเกิดความลำบากในทุกมุมโลก ทางที่ดีเราต้องอดทน กัดฟันข้ามผ่านไปให้ได้ แล้วไม่นาน คนที่มั่นคง เข้มแข็ง ไว้วางใจในพระเจ้าก็จะพบกับแสงสว่าง ใช่หรือไม่ สิ่งที่เราเกือบเอาชีวิตไม่รอด แท้จริงมันคือ สิ่งที่ผลักดันให้เดินไปสู่ความสำเร็จต่างหาก..!! ไม่มีชีวิตของใครง่าย ใคร ๆ ก็ลิ้มความทุกข์ลำบากของชีวิตด้วยกันทั้งนั้น มีแต่ต้องข้ามผ่านให้ได้ ข้ามผ่านพ้นเมื่อไหร่ ก็เหมือนชีวิตได้เกิดใหม่ ข้ามผ่านพ้นเมื่อไหร่ ชัยชนะก็รออยู่ข้างหน้า จงเชื่อมั่นว่า ทุกอย่างจะดีขึ้นในเร็ววันแน่นอน

อย่าไปสับสนว่า ต้นทุนชีวิตเรามีน้อยนิดเหลือเกิน? แต่ใช่ว่ามันต่ำต้อยด้อยค่าเสียเมื่อไหร่ ไม่ใช่ปัญหา ถ้าเรามีความเชื่อ มั่นใจในพระ มีจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง มีหัวใจที่แกร่ง เราจะก้าวหน้าสู่เส้นชัย จำไว้ว่า ยิ่งเจ็บปวดยิ่งรู้จักปัญหา ยิ่งมีสิ่งใหม่ ๆ ยิ่งได้เรียนรู้และทดสอบ ยิ่งพบพานยิ่งเพริศพรายใช้ชีวิต ยิ่งเผชิญยิ่งอดทนไม่มีท้อ ยิ่งรอคอยยิ่งท้าทายเพื่อฝึกความอดทนของจิตใจ ยิ่งมีขวากหนามยิ่งเพิ่มความระมัดระวัง ยิ่งขาดแคลนยิ่งต้องรู้จักที่จะให้ ยิ่งถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ยิ่งมานะ ยิ่งทุกข์ยิ่งต้องทน แล้วเมื่อเวลาที่เราข้ามผ่านพ้นไปได้ เราจะยิ่งสุขใจ ภาคภูมิใจ ดังกางเขนที่เด่นเป็นตระหง่านที่มีแต่ผู้คนเคารพบูชา จำไว้ว่า คนที่จิตใจสูงส่ง จะรู้สึกว่า การเสียสละ คือ ความสุขที่ยิ่งใหญ่ ตอบแทนความโลภด้วยการ “ให้ ” อาจจะดูไม่สง่านัก แต่มันคือ ความสว่างงดงามของความเป็นมนุษย์

วันเสาร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2568

ชั่วข้ามคืน

 

ชั่วข้ามคืน

 >>> ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนเปลี่ยนได้ทุกเวลา เงียบ เพื่อเตรียมพร้อม <<<

มีโอกาสมาเยือนทะเลเดินเล่นริมหาด ออกมาสูดอากาศในยามค่ำคืนและในยามเช้า ตรงบริเวณเดียวกัน แต่ก็มีหลายสิ่งที่ดูจะแตกต่างไป ทั้งชายหาด คลื่นลม ความงามและความสงบ ทำให้ย้อนมองชีวิตเรา บางครั้งเพียงข้ามคืน ข้ามวันเหตุการณ์ก็พลิกผันได้ สุขอยู่ดี ๆ ก็มีความทุกข์วิ่งเข้าชน หรือแม้กระทั่งยามทุกข์เราก็พบเจอเรื่องดี ๆ พบกับคนจริงใจ ดังคำที่มีผู้กล่าวไว้ ยามที่ทุกข์ที่สุดเป็นเวลาที่เราจะพิสูจน์ใจคนได้ดีสุด ยามสุขเรามักจะไม่ค่อยเห็นว่าใครรักและอยู่เคียงข้างเราจริง พอตกทุกข์ได้ยากมา เราถึงจะรู้จิตใจคน ใครจริงใจใครจิงโจ้ คนบางคนต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง พอหมดประโยชน์ก็ทำเหมือนไม่รู้จัก ยามไม่ทุกข์เรามักจะมองไม่เห็นว่าใครรักเรา แต่พอลองทุกข์ดูสิ คนใกล้ตัวที่คิดไม่ถึง คาดไม่ถึง เขาจะแสดงพฤติกรรมนั้นออกมาให้เราได้เห็น

ใช่หรือไม่ ในโลกนี้มีคนอยู่หลายประเภท บ้างจริงใจ บ้างเจตนาเพียงเพื่อผล ยิ่งในโลกที่เต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือ ทำให้ง่ายต่อการหลอกลวงกันมากขึ้น ยิ่งโลกก้าวหน้ามากเท่าไหร่ ใจของผู้คนกลับอ่อนแอลงมากเท่านั้น เราหลงไปกับสิ่งภายนอกจนลืมพัฒนาชีวิตภายใน ขาดความเข้มแข็ง ตกเป็นเหยื่อของกลโกงของคนที่คอยจะเอารัดเอาเปรียบ

จะกี่ร้อยกี่พันปี โลกจะก้าวหน้าไปมากเพียงใด จิตใจผู้คนแทบไม่แตกต่างกันเลย วันนั้นเมื่อหลายพันปีก่อน ผู้คนมากมายต่างยกย่องชายคนหนึ่ง ที่กำลังเข้ามายังเมือง ทุกคนต่างหวังในชายคนนั้น ออกมาต้อนรับ ส่งเสียงสรรเสริญ ชายคนนั้นรู้ว่า วาจาที่สรรเสริญ จะกลายเป็นคมดาบ กรีดใจลึก อย่าหลงเชื่อเพียงเสียงคำคน ใจไม่หวั่นไหวเพราะคำลวง ถึงแม้ว่าคำสรรเสริญจะมีพลังโน้มน้าวให้ระเริง แต่นิ่งเงียบยิ่งทรงพลัง เงียบบนหลังลา คือ การรับรู้ว่าอีกไม่นาน  คำเหล่านั้นจะกลับกลายเข้ามาทำร้าย เงียบในท่ามกลางเสียงโห่ร้องบางทีมัน คือ ความสงบ เฉกเช่นเราต้องการความเงียบสงบ ด้วยการไปที่ชายหาดที่เต็มไปด้วยเสียงคลื่นทะเล

วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2568

กาลครั้งนี้ที่เขย่าจิตวิญญาณ

 

กาลครั้งนี้ที่เขย่าจิตวิญญาณ

>>> หากความตายอยู่ตรงหน้า จะทำอะไรกันบ้าง <<<

            ต้องจารึกจดจำจากวันนี้ไปจนสิ้นลมหายใจ กับเหตุการณ์ที่พวกเราเพิ่งประสบพบเจอกันไปเมื่อบ่ายของวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2025 เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอย่างแผ่นดินไหว สั่นสะเทือนไปทั่ว ในขณะที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ อยู่ ๆ จอก็เอนเข้าหาตัวอย่างกับภาพสามมิติ ถามน้องที่นั่งข้าง ๆ ว่า เกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นมู่ลี่ตรงหน้าต่างก็สั่นไหวอย่างแรง จึงรู้แล้วว่าแผ่นดินไหวแน่ ๆ จึงรีบออกมาเพื่อดูว่าตัววัดจะเป็นอย่างไรบ้าง ในเวลานั้นนักศึกษาพยาบาลวิทยาเซนต์หลุยส์ กำลังซักซ้อมพิธีรับปริญญาบัตร ทุกอย่างหยุด ทุกคนรีบออกมาอยู่ตรงบริเวณลานจอดรถ ไม่นานทางโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ขอใช้สถานที่เพื่ออพยพคนป่วยลงจากตึกผู้ป่วย ทุกคนต่างช่วยเหลือกันอย่างพร้อมเพรียง จนเหตุการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ แต่ความตื่นเต้นยังคงอยู่อีกหลายวัน....

      มีเวลามานั่งทบทวนบทเรียน ทำให้เรารู้ว่า วัดที่มีพระเจ้าประทับอยู่เป็นที่หลบภัยของเราได้เสมอ ใช่หรือไม่  แผ่นดินเขย่าครั้งนี้ยังเขย่าความคิดและจิตใจของเรา หลายคนอาจอยากพัฒนาปรับปรุงชีวิตให้ดีขึ้น หลายคนอาจกลับไปจัดการเรื่องราวที่ค้างคา หลายคนอาจอยากเรียนรู้การดูแลจิตใจให้ปกติในยามมีภัยมาเยือน หลายคนอาจคิดว่าต้องรีบใช้ชีวิตก่อนตาย ทำสิ่งที่อยากทำ หลายคนอาจใช้ชีวิตไปเหมือนเดิม เพราะไม่รู้จะทำอะไรมากไปกว่านั้น

สิ่งหนึ่งที่สอนเราเมื่อความตายมาถึง เราจะทำอะไร แน่นอนคำตอบ คือ ทำความดีให้มากขึ้น รักคนที่อยู่ข้างเราให้มากขึ้น ดูแลใส่ใจช่วยเหลือผู้คนให้มากขึ้น แค่การทำความดียังไม่พอ เราต้องพัฒนาจิตวิญญาณของเราให้มั่นคง ไม่สั่นไหวง่ายยามถูกกิเลสเขย่า แผ่นดินไหวอาจผ่านมาและจบลง แต่การสั่นสะเทือนที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นในจิตใจของเรามากน้อยเพียงใด ความสันติสุขจากภายในก็จะปรากฏอย่างมั่นคงมากขึ้นเพียงนั้น ไม่สั่นไหวง่าย แม้ว่าโลกภายนอกจะเปลี่ยนไป

วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2568

ไม่เหลืออะไร

 

ไม่เหลืออะไร

>>> ในวันที่เราไม่เหลืออะไร คือวันที่เราจะได้เห็นอะไร <<<

จากเรื่องราวในกระแสสังคมไทย ที่เรามักให้ค่าของคนมี คนที่อวดรวย อวดเก่ง อวดมี แล้ววันหนึ่งเกิดความพลิกผัน ความจริงปรากฎว่าทั้งหมดเป็นเรื่องเปลือกปลอม จนวันนี้แทบไม่เหลืออะไร แม้แต่ที่จะยืนในสังคม แต่ในบางคนก็พบเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด จนทำให้ไม่เหลืออะไรจริงเลยก็มี คนไม่เคยพบเจอแทบจะไม่รู้สึกอะไร แต่คนที่เคยก้าวผ่านจากที่ชีวิตเคยมี เคยได้ เคยเป็น แล้ววันหนึ่งแทบไม่เหลืออะไรสักอย่าง มันเศร้า โดดเดี่ยว สิ้นหวัง ท้อแท้หดหู่ เหงา เซ็ง หมดอาลัยตายอยาก จะเหลียวหาใครสักคนไม่มี เป็นความรู้สึกแย่ ยากเกินบรรยาย สิ่งเหล่านี้นี่แหละ คือ เหตุผลว่า ทำไมเราต้องอยู่คนเดียวให้เป็น ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับพระเจ้าในตัวเราให้ได้และรักตัวเอง แม้วันหนึ่งไม่มีใครรัก เรายังเหลือตัวเราที่ยังรักและพระเจ้าที่ต้องการที่สุด เพราะไม่ว่าชีวิตจะเจอเรื่องราวที่ก้าวผ่านยากที่สุด สุดท้ายก็มีแค่ตัวเราที่ต้องผ่านไปให้ได้

แล้วเมื่อเรื่องราวร้าย ๆ ผ่านไปได้ เราจะรู้ว่าคนที่ยังอยู่สำคัญมากกว่าคนที่ห่างหายไป จากมิตรสนิทจะแปลเปลี่ยนเป็นคนแปลกหน้า จากคนที่ไว้วางใจจะกลายเป็นคนเดินผ่านไปอย่างไร้ตัวตน จากคนที่สนทนาพูดคุย จะเปลี่ยนเป็นคนติฉินนินทาเรา จองล้างจองผลาญไม่เลิก จากคนเคยรักจะเปลี่ยนเป็นคนเลวในที่สุด

นบางคนยิ่งเราให้ค่ามากเท่าไหร่ เราย่อมเจ็บปวดมากเท่านั้น แต่กับคนบางคนไม่ค่อยแสดงออก แค่กลับเป็นคนที่อยู่เคียงข้างเรา ไม่เคยหนีหายไปไหน เราต้องรู้จักที่จะรักษาไว้ วันที่ไม่เหลืออะไรเลย จะรู้ว่าใครเป็นมิตรแท้หรือมิตรเทียม ใครรักจริงหรือแกล้งรัก แต่สำหรับเราผู้มีความเชื่อในวันที่ไม่เหลือใคร เรายังมีพระเจ้าอยู่กับเราทุกกรณี และพร้อมอภัยเราในทุกเรื่องราวที่เราหลงไป เป็นพ่อที่พร้อมจะโอบกอดเราในวันที่สิ้นหวัง....

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2568

การเติบโตที่เปลี่ยนแปลง

 

การเติบโตที่เปลี่ยนแปลง

>>> คนเราเติบโตขึ้นไม่ใช่เพราะกาลเวลาที่ผันผ่าน

แต่เป็นเพราะเรื่องราวที่ผ่านพ้นเข้ามาต่างหาก <<<

มีต้นไม้หลังบ้านต้นหนึ่ง ยามได้ฝนมันจะแตกกิ่งก้านอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งลามมาในระเบียง ก็ต้องคอยตัดทิ้งเป็นประจำ แต่พอเราเอาต้นไม้ชนิดอื่นไปลง ก็ไม่งอกงามและเหี่ยวเฉาตายหมด นึกในใจว่า ต้นที่ต้องการให้ขึ้นก็ไม่เกิด ต้นที่ไม่อยากเห็นก็โตได้โตดี แต่ใช่หรือไม่ ต้นไม้ไม่อาจเลือกได้ทั้งที่เกิดและที่จะโต คนเราสิ แม้อาจจะเลือกที่เกิดไม่ได้ แต่เราเลือกที่ที่จะโตได้ เพราะคนเราไม่ใช่ต้นไม้อย่าไปฝังรากผิดที่ อย่าไปฝังใจผิดคน เมื่ออยู่ถูกที่เราจะเติบโตอย่างมีคุณภาพ ทั้งร่างกาย และจิตใจ ทุกเรื่องราว ทุกความผิดหวัง ทำให้เราเติบโต

พอโตขึ้นการมีทัศนคติที่ดีเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะมุมมองที่เรามีต่อโลกมีต่อปัญหา ต่อผู้คนรอบข้าง ต่อความผิดหวัง ต่อความล้มเหลว จะมีผลกับความสุขของเรา ถ้ามีทัศนคติที่ติดลบ เราจะมองทุกอย่างเป็นแค่โชคร้ายและเป็นเรื่องของคนอื่นที่ทำให้เราดูแย่ แต่ถ้าเรามองในมุมบวก เราจะเห็นว่ามันเป็นบทเรียน ที่ทำให้เราเติบโตเป็นคนที่แกร่งขึ้น เข้มแข็งต่อทุกเรื่องที่จะผ่านเข้ามามากขึ้น ต่อให้จะเจอเรื่องเลวร้ายแค่ไหน ทัศนคติที่ดีนั้นก็จะทำให้เราผ่านไปได้ ถึงจะไม่ง่ายแต่อย่างน้อยเราจะได้เรียนรู้ ทัศนคติเปลี่ยนได้แค่พาตัวเองออกไปอยู่กับคนแบบนั้นอยู่ในพื้นที่ที่เห็นคุณค่าและคอยผลักดัน

ชีวิตเรามีทัศนคติที่ดีได้แค่เราเปลี่ยนมุมที่มองสิ่งที่เจอ มีสิ่งหนึ่งที่ชอบเป็นการส่วนตัว เวลาไปไหนมาไหน เห็นต้นไม้ใหญ่ที่มีรูปทรงสวยมักจะต้องหามุมถ่ายภาพเก็บไว้ ป็นเหมือนได้มองเห็นการเติบโตที่สวยงาม ที่ก่อให้เกิดร่มเงากับทุกสรรพสิ่ง และก็ให้บทเรียนกับเราเสมอว่า กว่าจะเป็นเช่นนี้ได้ต้องผ่านอะไรมามากมาย ก็เหมือนเราพอเวลาผ่านไป เราจะเติบโตขึ้นไปเป็นคนใหม่จากเด็กน้อยที่ร้องไห้บ่อย ๆ กลายเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งถึงแม้มีบ้างบางครั้งจะแอบร้องไห้ แต่เราจะอดทนเก่งขึ้นและผ่านมันไปได้ทุกครั้ง

จากวันวานสู่วัยวันนี้ ได้เรียนรู้ว่า โลกไม่ได้หมุนรอบตัวเรา เป็นเราต่างหากที่ต้องหมุนไปกับสิ่งรอบตัว จากที่ไม่ประสาอะไร พอเติบโตขึ้นเราจะเก่งในแบบของเราและมีเส้นทางเป็นของตัวเองที่ไม่ใช่เหมือนใคร ใช่หรือไม่ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหนเราจะต้องโตขึ้นและก้าวต่อไปเสมอ


เมื่อเราเติบโตหลายสิ่งหลายอย่างก็มักจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น โตแล้วไม่ชอบใคร ก็เก็บไว้ในใจโตแล้วต้องมีความอดทน อดกลั้นต่อปัญหา โตแล้วควรรู้ว่า อะไรควรพูด อะไรควรเงียบ ควรพูดตอนไหน ตอนไหนควรปิดปาก ไม่ใช่พูดทุกเรื่อง พูดทุกอย่างที่คิดแบบนี้ชีวิตจะเดือดร้อน โตแล้วต้องรู้จักยอมรับความจริงให้ได้ว่า ชีวิตมีได้ก็มีเสีย มีขึ้นมีลง มีชนะมีแพ้ มีขาดทุนมีกำไร มีหัวเราะมีร้องไห้ มีกลางวันมีกลางคืน มีร้อนมีหนาว ยอมรับความจริงให้ได้ ชีวิตนี้จะมีความสุข โตแล้วต้องแยกแยะให้ได้ว่า อะไรดี อะไรชั่ว คนไหนคบได้ คนไหนคบไม่ได้ คนไหนแค่รู้จักพอ คนไหนสนิทได้เพราะทุกคนไม่ได้ดีกับเรา ไม่ได้จริงใจกับเราทุกคน โตแล้วอะไรยอมได้ก็ยอม การยอมแพ้ไม่ได้แปลว่าแพ้เสมอไป บางครั้ง การยอมแพ้นำมาซึ่งชัยชนะที่ยิ่งใหญ่กว่าการเป็นฝ่ายชนะด้วยซ้ำ โตแล้วรู้จักรักตัวเองให้ได้ แต่อย่ารักตัวเองจนกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว โตแล้วสิ่งที่ต้องทำให้ได้ ต้องรีบทำคือตอบแทนบุญคุณ คนที่เขาเคยช่วยเหลือคนที่เขายื่นมือมาช่วยเรา โต ๆ กันแล้วไม่พูดมาก ประหยัดคำพูด เติบโต เปลี่ยนแปลงเพื่อเป็นร่มเงาแก่ผู้คนดีกว่าปล่อยให้เป็นลำต้นที่ผุพังไปกับกาลเวลา