วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ใจที่ไร้พรมแดน

 

ใจที่ไร้พรมแดน

>>> บางครั้งชัยชนะ ก็ซ่อนอยู่ในความพ่ายแพ้ <<<

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาติดตามข่าวความขัดแย้งถึงขึ้นทำสงครามใส่กันระหว่างอิสราเอลกับ อิหร่าน มีความรู้สึกว่ามนุษย์เราฉลาดคิดค้นอุปกรณ์อาวุธล้ำสมัยขึ้นมาเพื่อทำร้ายกัน เพื่อทำลายโลกนี้ให้เร็วขึ้น การสู้รบแม้ไม่ต้องเผชิญหน้ากันเหมือนสมัยก่อน แต่กลับกลายเป็นการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินได้มากมายมหาศาล ไหนจะรัสเซียกับยูเครนก็เริ่มบดบี้กันหนักขึ้น เพิ่งจางไปก็อินเดียกับปากีสถาน และประเทศเรากับเพื่อนบ้าน ก็ทำสงครามข่าวสาร ปลุกระดมในสื่อที่ไร้พรมแดน เพียงเพื่อช่วงชิงดินแดน มีคำถามหลากหลายที่เกิดขึ้น เป็นข้อสงสัยในกฎเกณฑ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น อาทิ ทำไมประเทศหนึ่งผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้ แต่พอประเทศหนึ่งจะผลิตบ้างก็ห้าม ก็ถูกลงโทษ เท่าที่พอจะหาความรู้ได้ ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์อย่างเป็นทางการ 5 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริการัสเซีย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส จีน เพราะเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) และได้รับการรับรองตาม สนธิสัญญาการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT - Non-Proliferation Treaty) ปี 1968 มันก็ทำให้อำนาจอยู่กับบางประเทศ โลกไร้พรมแดนจึงไม่มีอยู่จริง  ในวันนี้หลายประเทศก็ผลิตอาวุธร้ายขึ้นอย่างไร้พรมแดนเหมือนกัน

ทำไมโลกเป็นเช่นนี้ ใช้สงครามดับสงคราม คิดเอาไฟไปดับไฟ มันก็ยิ่งวุ่นวายกันไปใหญ่ เส้นทางแห่งความฉ่ำเย็นสงบสุขไม่เลือกที่จะเดิน กลับเลือกเดินลุยเปลวไฟที่ลุกโชน ใช้สงครามดับสิ้นสงครามนั้น สงครามมันจะสงบสุขได้จริงหรือ แล้วผู้พ่ายแพ้แท้จริง คือ ผู้ใด ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คือ ประชาชน เช่นดังคำกล่าวที่มีมาเนิ่นนา เมื่อช้างสารชนกันหญ้าแพรกก็ล้มตาย   ชีวิตคนธรรมดาที่ไม่มีอำนาจใครจะสนใจ มันก็คือผลประโยชน์ของคนมีอำนาจไม่กี่คน และสงครามส่วนมากเริ่มจากพูดกันไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จักฟังกัน แล้วก็เกิดการขัดเคือง ต่างคนต่างพูด ต่างฝ่ายต่างเอาดีใส่ตัว

มีคำกล่าวว่า นักปราชญ์ย่อมใช้คำพูดเท่าที่จำเป็น พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ พูดในสิ่งที่เกิดความเปลี่ยนแปลง พูดในสิ่งที่ผู้ฟังสนใจใคร่รู้ ยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งที่คิดจะพูด ย่อมใช้สติกำกับในทุกคำที่พูดเสมอ อะไรคือแรงผลักในการพูด พลังอันใดที่กระตุ้นให้รู้สึกอยากเปล่งเสียงออกมา พลังความเห็นแก่ตัว หรือพลังแห่งปรีชาญาณ สองสิ่งนี้มีพลังที่บังคับคำพูดของผู้คน พูดดีก็ได้ พูดเลวก็ได้ ตราบที่ยังปนเปื้อนด้วยบาป ตราบที่ยังมีกิเลสเป็นเชื้ออยู่ในจิตใจ ขอให้รู้ว่าไม่มีใครดีไปกว่าใคร หนทางที่ดี ง่าย และปลอดภัยที่สุด ก็คือ หยุดพูด เปิดใจ หมั่นสำรวจตรวจสอบความพยองที่ฟูฟ่องอยู่ภายใน ฟื้นฟูความเมตตาในจิตวิญญาณให้มากที่สุด เมตตา คือ คู่ปรับของความเห็นแก่ตัว มีเมตตามากความเห็นแก่ตัวก็น้อย เพื่อหลีกเลี่ยงหากจำเป็นก็เดินออกจากสมรภูมิแห่งการโต้เถียง ขึ้นชื่อว่าสงคราม ในความเป็นจริงย่อมไม่มีผู้ชนะ ทุกคนล้วนแต่เป็นผู้แพ้ทั้งสิ้น

สงครามไม่ใช่เรื่องของวันนี้เท่านั้น แต่คือเรื่องของวันพรุ่งนี้ที่ยังไม่มาถึง ต้นตอแห่งความวุ่นวาย ประการสำคัญ คือ ใจคนที่ไม่รู้จักพอ ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน และความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ปัญหาและความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในสังคม ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้ง ความโลภ การเอารัดเอาเปรียบ หรือแม้แต่สงคราม ล้วนมีรากเหง้าสำคัญมาจากใจคนที่ไม่รู้จักพอนั่นเอง ใจที่รู้จักพอ ใจที่ไร้พรมแดน ไม่ได้แปลว่าหยุดพัฒนา แต่หมายถึง พอในสิ่งที่ควรหยุด และให้ความรักความเมตตาออกไปอย่างมิสิ้นสุด ความวุ่นวายภายนอกจึงสะท้อนจากความไม่พอภายในใจ เมื่อใดที่ใจหยุดแสวงหาในสิ่งที่เกินความจำเป็น เมื่อนั้นความสงบก็จะเกิดขึ้นทั้งในตัวเองและสังคม ด้วยหัวใจแห่งรักไร้พรมแดนของพระเยซูเจ้า พระองค์จึงยอมเสียเลือดเนื้อในวันนั้น เพื่อก่อให้เกิดสันติสุขภายในใจของเราในวันนี้

วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ภายในที่ดี

 

ภายในที่ดี

>>> ความสำเร็จที่แท้จริง เริ่มต้นจากภายใน จิตใจที่ดี จะดึงดูดการกระทำที่ดี <<<

ดูเหมือนว่าความวุ่นวายของสังคมเริ่มจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และความขัดแย้งในองค์กร ก่อให้เกิดความสับสนอลหม่านไปกันหมด ท่ามกลางเครื่องมือสมัยใหม่ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาแทนที่จะเป็นเครื่องมือช่วยให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้น ทำให้เรามีความสุขมากขึ้น แต่เปล่าเลย มันกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้ช่วงชิงผลประโยชน์ เป็นเครื่องมือที่ก่อให้เกิดความเห็นแก่ตัวมากขึ้นและเร็วขึ้นอย่างไม่รู้ตัว วันนี้เรากำลังหลุดวงโคจรในสำนึกของตัวเองกันมากขึ้น เราไม่นิ่งพอต่อสิ่งเร้า เราขาดการเจริญเติบโตทางชีวิตภายใน เราเร่งรีบกันเกินไป จนกลายเป็นผลที่สุกก่อนวัยอันทาน เราหาความสำเร็จเพื่อปรุงแต่งตัวตนมากกว่ามองความสำเร็จขององค์รวม ที่สุดเรากำลังละทิ้งพระผู้ช่วยให้เดียวดายอย่างไม่ใยดี แล้วพอความเลวร้ายมาถึง เราก็ล้มลงไม่เป็นท่า...

ถ้าชีวิตภายในเราแกร่งพอไม่ว่าจะเจอเรื่องราวหลายหลากเช่นไร จะเลวร้ายแค่ไหน เราพร้อมน้อมรับกับทุกสถานการณ์ เราต้องรู้จักคุณค่าในตัวเองและเชื่อว่า “เราเข้มแข็งพอ” ที่จะก้าวข้ามทุกปัญหาได้อย่างผู้มีปัญญา สิ่งหนึ่งที่ต้องประคับประคองไว้ให้ได้คือ “ใจ” และ “พลังบวก” ภายใน อย่าให้ใครมาลดทอนสิ่งดี ๆ ที่เรามีอยู่ อย่าให้ใครมีอิทธิพลกับความรู้สึกมากไป ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามที่มันควรจะเป็น ยึดใจไว้อย่าให้แกว่ง

ใจที่ไม่มั่นคงเปรียบเหมือนเรือที่ไร้หางเสือ ลมพัดไปทางไหนก็พาไปทางนั้น ไม่อาจควบคุมทิศทางของตนเองได้ เมื่อเจอลมพายุพัดใส่ คำพูดของคนอื่น เรื่องราวรอบตัว หรือความกลัวภายใน ใจก็หวั่นไหวและไหลไปตามกระแสคลื่นอย่างง่ายดาย เรือที่ไร้หางจะไม่มีวันถึงจุดหมาย เพราะไม่มีสิ่งใดนำทางฉันใด ใจที่ไม่มั่นคงก็ไม่อาจสร้างเส้นทางชีวิตที่ชัดเจนได้ฉันนั้น การมีจิตใจมั่นคง ไม่ได้แปลว่าแข็งกระด้าง แต่เป็นการรู้จักตนเอง ยืนหยัดในความดีงาม และกล้าที่จะตัดสินใจแม้ยามคลื่นลมแรง เพราะเมื่อใจนิ่ง แน่วแน่ และมีเป้าหมาย ก็เหมือนเรือที่มีหางเสือพร้อมแม้ต้องฝ่าคลื่นลม มุ่งหน้าไปถึงฝั่งได้ในที่สุด

และเพื่อให้ใจที่มั่นคงเราต้องเรียนรู้ที่จะฟังเสียงภายใน ความเงียบภายในใจไม่ใช่ความอ่อนแอ เป็นการฟื้นฟูตัวเองเพื่อกลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิม  เป็นกระบวนการที่เราหยุดเพื่อฟังเสียงของตัวเอง ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเราเผชิญกับปัญหาหรือความกดดัน บางครั้งการตอบสนองโดยทันทีอาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด ความเงียบช่วยให้เราได้ไตร่ตรอง หาคำตอบ และค้นพบพลังใหม่ที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง การหยุดพักไม่ได้หมายถึงการยอมแพ้ แต่เป็นการให้เวลากับตัวเองได้ฟื้นตัวจากความเหนื่อยล้าและเตรียมพร้อมสำหรับก้าวต่อไป

คนสมัยใหม่มักอยู่คนเดียวไม่เป็น พออยู่คนเดียว ก็กลัวเหงา กลัวความเงียบ ใจล่องลอยคิดถึงนั่นนี้ นี่คือความอ่อนแอของจิตใจ ปัญหานี้เรามักมองข้ามกัน คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ทุกวันนี้เรามีโทรศัพท์เป็นเพื่อน อยู่คนเดียวได้ขอให้มีไวไฟ มีคลื่นโทรศัพท์ แต่ไม่ได้อยู่กับความเงียบ ไม่มีเวลาสนทนากับพระจิตเจ้า เลยรู้สึกต้องการนั่นนี่โน้นตลอดเวลา ตรงกันข้ามกับคนที่นิ่งเป็นจะมีความรู้สึกว่าไม่ขาดอะไรเลย จะอยู่คนเดียว อยู่น้อยคน อยู่มากคน จิตใจก็มั่นคง จะคบใครพูดคุยกับใครก็มีความสุข  จะอยู่คนเดียวก็มีความสุขได้ ความสุขจึงขึ้นอยู่กับการเติบโตของชีวิตภายใน ไม่ต้องพึ่งคนอื่น ก่อให้เกิดความมั่นใจในตัวเองเป็นปฐมบท มั่นใจตัวเองไม่ได้แปลว่าอวดดี แต่เพราะเชื่อมั่นว่าตัวเราดีพอ จึงกล้าที่จะใช้ชีวิตอย่างคนที่ไม่กังวลกับความทุกข์

ใช้ชีวิตในวันที่ดูไม่โสภาให้เป็นของขวัญ และของขวัญที่ดีที่สุดของชีวิต คือ ความสุขภายในเป็นความสุขแท้จริงที่เกิดจากใจหยุดนิ่ง เมื่อหยุดจึงสว่าง เมื่อสว่างจึงเห็น เมื่อเห็นจึงรู้ เมื่อรู้จึงหลุดพ้นจากความทุกข์ และที่สุดพระจิตอยู่ในตัวเราเสมอ ฟังเสียงพระองค์บ้าง ให้พระองค์ชี้นำทาง สนทนากับพระองค์บ่อย ๆ ในยามว่าง เพื่อให้พระองค์เป็นชีวิตภายในของเรา