วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2568

สุดทางคือสันติสุข

 

สุดทางคือสันติสุข

>>> หากรู้ว่าต้องสิ้นลมหายใจ ต้องกระทำสิ่งที่งดงามที่สุด <<<

บ่ายวันจันทร์ขณะกำลังนั่งคุยกับน้องชายที่มาเยี่ยม เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ประโยคที่ได้ยินแต่ไม่อยากได้ยิน คือ ข่าวพระสันตะปาปาสิ้นพระขนม์จริงไหม จึงรีบเช็คข่าวกับน้องที่เป็นแอดมินเพจ Pope Report คำตอบคือ ใช่ครับพี่ ผมยังมือสั่นอยู่เลยตอนโพสต์ข่าวนี้ หลังจากนั้นความทรงจำ คำสอนที่ประทับใจก็หลั่งไหลออกมา และคำสอนสุดท้ายในวันอาทิตย์ปัสกา ก่อนวันสิ้นสุดการเป็นผู้นำจิตวิญญาณในโลกนี้ คือ ขอให้โลกเลือก “อาวุธแห่งสันติ”

พระสันตะปาปาเตือนว่า “สันติภาพจะเกิดขึ้นไม่ได้หากโลกยังคงวิ่งแข่งสะสมอาวุธ” พระองค์เชิญชวนให้มนุษยชาติ “ทำลายกำแพงแห่งความแตกแยก ดูแลกันและกัน เพิ่มความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว และส่งเสริมการพัฒนาทุกคนอย่างสมบูรณ์” พร้อมย้ำว่า “อาวุธแห่งสันติ” คือการช่วยเหลือผู้ยากไร้ ต่อสู้กับความหิวโหย และส่งเสริมการพัฒนา ไม่ใช่การหว่านเมล็ดแห่งความตายหลักมนุษยธรรมต้องไม่เลือนหาย

พระสันตะปาปาเน้นว่า หลักมนุษยธรรมต้องเป็นหัวใจของการกระทำในแต่ละวัน “ต่อหน้าความโหดร้ายของสงครามที่โจมตีพลเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล และเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรม เราไม่อาจลืมได้ว่าผู้ที่ถูกโจมตีคือมนุษย์ผู้มีวิญญาณและศักดิ์ศรี”

หลังการประทานพรจบลง พระสันตะปาปาทรงเซอร์ไพรส์ทุกคนด้วยการออกมานั่งรถโมบิล ทักทายทุกคนอย่างเป็นกันเองที่ลานหน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร พระสันตะปาปาชี้นิ้วสั่งเองด้วยว่า ให้ไปทางไหน และเมื่อเห็นเด็กเล็ก ๆ พระองค์ก็สั่งให้หยุดรถ และพาเด็กมาหาพระองค์ นี่คือสุดทางสันติภาพของพระสันตะปาปา ฟรังซิส แต่ไม่ใช่จุดสิ้นสุดสันติภาพอย่างแน่นอน (ขอบคุณ Pope Report)

วันเสาร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2568

เวลาข้ามผ่าน

 

เวลาข้ามผ่าน

>>> ทุกคนล้วนมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก และก้าวข้ามผ่านมาได้ด้วยกันทั้งนั้น <<<

ในสถานการณ์ของวันนี้ที่ดูเหมือนว่า โลกกำลังตกอยู่ในภาวะที่ยากลำบาก ทั้งภัยจากธรรมชาติ และจากน้ำมือมนุษย์ด้วยกันเอง ที่ส่อเคล้าลางจะเกิดความลำบากในทุกมุมโลก ทางที่ดีเราต้องอดทน กัดฟันข้ามผ่านไปให้ได้ แล้วไม่นาน คนที่มั่นคง เข้มแข็ง ไว้วางใจในพระเจ้าก็จะพบกับแสงสว่าง ใช่หรือไม่ สิ่งที่เราเกือบเอาชีวิตไม่รอด แท้จริงมันคือ สิ่งที่ผลักดันให้เดินไปสู่ความสำเร็จต่างหาก..!! ไม่มีชีวิตของใครง่าย ใคร ๆ ก็ลิ้มความทุกข์ลำบากของชีวิตด้วยกันทั้งนั้น มีแต่ต้องข้ามผ่านให้ได้ ข้ามผ่านพ้นเมื่อไหร่ ก็เหมือนชีวิตได้เกิดใหม่ ข้ามผ่านพ้นเมื่อไหร่ ชัยชนะก็รออยู่ข้างหน้า จงเชื่อมั่นว่า ทุกอย่างจะดีขึ้นในเร็ววันแน่นอน

อย่าไปสับสนว่า ต้นทุนชีวิตเรามีน้อยนิดเหลือเกิน? แต่ใช่ว่ามันต่ำต้อยด้อยค่าเสียเมื่อไหร่ ไม่ใช่ปัญหา ถ้าเรามีความเชื่อ มั่นใจในพระ มีจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง มีหัวใจที่แกร่ง เราจะก้าวหน้าสู่เส้นชัย จำไว้ว่า ยิ่งเจ็บปวดยิ่งรู้จักปัญหา ยิ่งมีสิ่งใหม่ ๆ ยิ่งได้เรียนรู้และทดสอบ ยิ่งพบพานยิ่งเพริศพรายใช้ชีวิต ยิ่งเผชิญยิ่งอดทนไม่มีท้อ ยิ่งรอคอยยิ่งท้าทายเพื่อฝึกความอดทนของจิตใจ ยิ่งมีขวากหนามยิ่งเพิ่มความระมัดระวัง ยิ่งขาดแคลนยิ่งต้องรู้จักที่จะให้ ยิ่งถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ยิ่งมานะ ยิ่งทุกข์ยิ่งต้องทน แล้วเมื่อเวลาที่เราข้ามผ่านพ้นไปได้ เราจะยิ่งสุขใจ ภาคภูมิใจ ดังกางเขนที่เด่นเป็นตระหง่านที่มีแต่ผู้คนเคารพบูชา จำไว้ว่า คนที่จิตใจสูงส่ง จะรู้สึกว่า การเสียสละ คือ ความสุขที่ยิ่งใหญ่ ตอบแทนความโลภด้วยการ “ให้ ” อาจจะดูไม่สง่านัก แต่มันคือ ความสว่างงดงามของความเป็นมนุษย์

วันเสาร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2568

ชั่วข้ามคืน

 

ชั่วข้ามคืน

 >>> ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนเปลี่ยนได้ทุกเวลา เงียบ เพื่อเตรียมพร้อม <<<

มีโอกาสมาเยือนทะเลเดินเล่นริมหาด ออกมาสูดอากาศในยามค่ำคืนและในยามเช้า ตรงบริเวณเดียวกัน แต่ก็มีหลายสิ่งที่ดูจะแตกต่างไป ทั้งชายหาด คลื่นลม ความงามและความสงบ ทำให้ย้อนมองชีวิตเรา บางครั้งเพียงข้ามคืน ข้ามวันเหตุการณ์ก็พลิกผันได้ สุขอยู่ดี ๆ ก็มีความทุกข์วิ่งเข้าชน หรือแม้กระทั่งยามทุกข์เราก็พบเจอเรื่องดี ๆ พบกับคนจริงใจ ดังคำที่มีผู้กล่าวไว้ ยามที่ทุกข์ที่สุดเป็นเวลาที่เราจะพิสูจน์ใจคนได้ดีสุด ยามสุขเรามักจะไม่ค่อยเห็นว่าใครรักและอยู่เคียงข้างเราจริง พอตกทุกข์ได้ยากมา เราถึงจะรู้จิตใจคน ใครจริงใจใครจิงโจ้ คนบางคนต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง พอหมดประโยชน์ก็ทำเหมือนไม่รู้จัก ยามไม่ทุกข์เรามักจะมองไม่เห็นว่าใครรักเรา แต่พอลองทุกข์ดูสิ คนใกล้ตัวที่คิดไม่ถึง คาดไม่ถึง เขาจะแสดงพฤติกรรมนั้นออกมาให้เราได้เห็น

ใช่หรือไม่ ในโลกนี้มีคนอยู่หลายประเภท บ้างจริงใจ บ้างเจตนาเพียงเพื่อผล ยิ่งในโลกที่เต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือ ทำให้ง่ายต่อการหลอกลวงกันมากขึ้น ยิ่งโลกก้าวหน้ามากเท่าไหร่ ใจของผู้คนกลับอ่อนแอลงมากเท่านั้น เราหลงไปกับสิ่งภายนอกจนลืมพัฒนาชีวิตภายใน ขาดความเข้มแข็ง ตกเป็นเหยื่อของกลโกงของคนที่คอยจะเอารัดเอาเปรียบ

จะกี่ร้อยกี่พันปี โลกจะก้าวหน้าไปมากเพียงใด จิตใจผู้คนแทบไม่แตกต่างกันเลย วันนั้นเมื่อหลายพันปีก่อน ผู้คนมากมายต่างยกย่องชายคนหนึ่ง ที่กำลังเข้ามายังเมือง ทุกคนต่างหวังในชายคนนั้น ออกมาต้อนรับ ส่งเสียงสรรเสริญ ชายคนนั้นรู้ว่า วาจาที่สรรเสริญ จะกลายเป็นคมดาบ กรีดใจลึก อย่าหลงเชื่อเพียงเสียงคำคน ใจไม่หวั่นไหวเพราะคำลวง ถึงแม้ว่าคำสรรเสริญจะมีพลังโน้มน้าวให้ระเริง แต่นิ่งเงียบยิ่งทรงพลัง เงียบบนหลังลา คือ การรับรู้ว่าอีกไม่นาน  คำเหล่านั้นจะกลับกลายเข้ามาทำร้าย เงียบในท่ามกลางเสียงโห่ร้องบางทีมัน คือ ความสงบ เฉกเช่นเราต้องการความเงียบสงบ ด้วยการไปที่ชายหาดที่เต็มไปด้วยเสียงคลื่นทะเล

วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2568

กาลครั้งนี้ที่เขย่าจิตวิญญาณ

 

กาลครั้งนี้ที่เขย่าจิตวิญญาณ

>>> หากความตายอยู่ตรงหน้า จะทำอะไรกันบ้าง <<<

            ต้องจารึกจดจำจากวันนี้ไปจนสิ้นลมหายใจ กับเหตุการณ์ที่พวกเราเพิ่งประสบพบเจอกันไปเมื่อบ่ายของวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2025 เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอย่างแผ่นดินไหว สั่นสะเทือนไปทั่ว ในขณะที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ อยู่ ๆ จอก็เอนเข้าหาตัวอย่างกับภาพสามมิติ ถามน้องที่นั่งข้าง ๆ ว่า เกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นมู่ลี่ตรงหน้าต่างก็สั่นไหวอย่างแรง จึงรู้แล้วว่าแผ่นดินไหวแน่ ๆ จึงรีบออกมาเพื่อดูว่าตัววัดจะเป็นอย่างไรบ้าง ในเวลานั้นนักศึกษาพยาบาลวิทยาเซนต์หลุยส์ กำลังซักซ้อมพิธีรับปริญญาบัตร ทุกอย่างหยุด ทุกคนรีบออกมาอยู่ตรงบริเวณลานจอดรถ ไม่นานทางโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ขอใช้สถานที่เพื่ออพยพคนป่วยลงจากตึกผู้ป่วย ทุกคนต่างช่วยเหลือกันอย่างพร้อมเพรียง จนเหตุการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ แต่ความตื่นเต้นยังคงอยู่อีกหลายวัน....

      มีเวลามานั่งทบทวนบทเรียน ทำให้เรารู้ว่า วัดที่มีพระเจ้าประทับอยู่เป็นที่หลบภัยของเราได้เสมอ ใช่หรือไม่  แผ่นดินเขย่าครั้งนี้ยังเขย่าความคิดและจิตใจของเรา หลายคนอาจอยากพัฒนาปรับปรุงชีวิตให้ดีขึ้น หลายคนอาจกลับไปจัดการเรื่องราวที่ค้างคา หลายคนอาจอยากเรียนรู้การดูแลจิตใจให้ปกติในยามมีภัยมาเยือน หลายคนอาจคิดว่าต้องรีบใช้ชีวิตก่อนตาย ทำสิ่งที่อยากทำ หลายคนอาจใช้ชีวิตไปเหมือนเดิม เพราะไม่รู้จะทำอะไรมากไปกว่านั้น

สิ่งหนึ่งที่สอนเราเมื่อความตายมาถึง เราจะทำอะไร แน่นอนคำตอบ คือ ทำความดีให้มากขึ้น รักคนที่อยู่ข้างเราให้มากขึ้น ดูแลใส่ใจช่วยเหลือผู้คนให้มากขึ้น แค่การทำความดียังไม่พอ เราต้องพัฒนาจิตวิญญาณของเราให้มั่นคง ไม่สั่นไหวง่ายยามถูกกิเลสเขย่า แผ่นดินไหวอาจผ่านมาและจบลง แต่การสั่นสะเทือนที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นในจิตใจของเรามากน้อยเพียงใด ความสันติสุขจากภายในก็จะปรากฏอย่างมั่นคงมากขึ้นเพียงนั้น ไม่สั่นไหวง่าย แม้ว่าโลกภายนอกจะเปลี่ยนไป